โปรแกรมตัดต่อวิดีโอฟรีที่ดีที่สุดทำให้การตัดต่อวิดีโอสำหรับแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น Instagram, TikTok, Vimeo และ YouTube เป็นเรื่องง่าย
มาดู 15 โปรแกรมตัดต่อวิดีโอยอดนิยมที่ใช้งานได้ฟรีจากทั่วเว็บไว้ให้คุณเลือก แต่ละโปรแกรมก็มีจุดเด่นต่างกันไป ซึ่งเราก็จะสรุปข้อดีข้อเสียให้คุณตัดสินใจเลือกใช้ได้ง่ายขึ้น
15 โปรแกรมตัดต่อวิดีโอฟรีที่ดีที่สุด
- HitFilm: ดีที่สุดโดยรวม
- Lightworks: ฟีเจอร์ทรงพลังที่สุด
- iMovie: ดีที่สุดสำหรับผู้ใช้ Mac
- VideoPad: เหมาะกับมือใหม่
- DaVinci Resolve: เหมาะกับมือโปร
- VSDC6: ฟรีแบบไม่มีลายน้ำ
- OpenShot: เหมาะกับคนระดับกลาง
- Shotcut: เด่นเรื่องตัดต่อเสียง
- Clipchamp: ดีที่สุดสำหรับ Windows 11
- Vimeo Create: ใช้งานง่ายด้วย AIx
- KineMaster: ดีที่สุดบนมือถือ
- Movie Maker Online: ใช้งานผ่านเบราว์เซอร์
- Movavi Video Editor: เหมาะกับอินฟลูเอ็นเซอร์ในโซเชียลมีเดีย
- ActivePresenter: เหมาะกับงานอัดหน้าจอ
- Video Grabber: ใช้ดีสำหรับคลิปสั้นๆ
1. โปรแกรมตัดต่อฟรีที่ดีที่สุดโดยรวม: HitFilm
HitFilm
หากคุณไม่มีประสบการณ์มากนักกับโปรแกรมตัดต่อวิดีโอ HitFilm อาจดูใช้งานยากในตอนแรก เพราะเป็นโปรแกรมที่ใช้ในงานระดับหนังฮอลลีวูด แต่คุ้มค่ากับการเรียนรู้ เพราะนี่คือโปรแกรมตัดต่อวิดีโอแบบครบเครื่องที่ดีที่สุดในบรรดาโปรแกรมฟรี (ตอนดาวน์โหลดจะมีให้แชร์โพสต์ลงโซเชียลมีเดีย แต่ก็ถือว่าเป็น “ราคาที่ถูกมาก” สำหรับโปรแกรมระดับนี้)
HitFilm มาพร้อมเครื่องมือแอนิเมชันสำหรับสร้างและปรับแต่งทรานซิชันของเสียงและวิดีโอได้โดยไม่ต้องทำ composite shot ช่วยประหยัดเวลาไปได้มาก อีกทั้งยังมีเอฟเฟกต์ 3D สุดเจ๋ง เหมาะกับทั้งหนังสั้น มิวสิกวิดีโอ หรือคลิป YouTube แถมยังมีฟีเจอร์ระดับโปรที่ปกติจะอยู่ในโปรแกรมแบบเสียเงิน เช่น การตัดต่อแบบ 360 องศา และคลังเอฟเฟกต์พิเศษให้เลือกใช้งานมากมาย
รองรับ: Mac และ Windows
ราคา: ฟรี (ประมาณ 440 บาทต่อเดือน โดยคำนวณจากอัตราต่อเดือนสำหรับ HitFilm Pro เมื่อชำระเงินรายปี)
ลายน้ำ: ไม่มี
ฟีเจอร์ของ HitFilm:
- ติดตามการเคลื่อนไหว, เครื่องมือเลือกสี, และเครื่องมือตัดต่อ
- ฟีเจอร์ Composite shot
- Auto-stabilizer เพื่อทำให้ภาพที่สั่นไหวเรียบเนียน
- Adaptive trimmer เพื่อปรับแต่งคลิปหลังจากเพิ่มลงในไทม์ไลน์
- Smart attribute copy and paste
- Audio mixer สำหรับปรับแต่งเสียง
- ตัวเลือกการเปลี่ยนภาพที่หลากหลายรวมถึง push, zoom, และ dissolve
ข้อดี
ข้อเสีย
2. โปรแกรมตัดต่อฟรีที่ฟีเจอร์ทรงพลังที่สุด: Lightworks
Lightworks
Lightworks มีอินเทอร์เฟซที่เรียบง่ายและใช้งานง่าย ทำให้คุณสามารถเริ่มต้นและใช้งานได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังมีวิดีโอสอนใช้งานแบบละเอียดหลายรายการ จึงเป็นหนึ่งในโปรแกรมตัดต่อวิดีโอที่เข้าถึงและเรียนรู้ได้ง่ายที่สุดในลิสต์นี้
Lightworks ใช้งานได้กับระบบปฏิบัติการ Linux และมีวิดีโอสต็อกและคลิปเสียงต้นฉบับพร้อมสิทธิ์การใช้งานให้เลือกใช้ โดยรวมแล้วนี่คือโปรแกรมที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง ซึ่งสามารถเพิ่มความเป็นมืออาชีพให้กับวิดีโอการตลาดได้ทุกแบบ
รองรับ: Windows, Mac, และ Linux
ราคา: ฟรี (ประมาณ 950 บาทต่อเดือนสำหรับ Lightworks Pro)
ลายน้ำ: ไม่มี
ฟีเจอร์ของ Lightworks:
- ฟังก์ชันตัดต่อแบบ Trim ที่ใช้งานง่าย ช่วยให้ตัดต่อวิดีโอได้อย่างแม่นยำ
- ปรับความเร็วในการทำงาน ทำให้คุณแก้ไขวิดีโอได้ขณะนำเข้าไฟล์
- รองรับการตัดต่อแบบ Multicam เพื่อซิงก์คลิปจากกล้องหลายตัวพร้อมกัน
- แชร์โปรเจกต์กับทีมแบบเรียลไทม์
ข้อดี
ข้อเสีย
3. โปรแกรมตัดต่อฟรีที่ดีที่สุดสำหรับ Mac: iMovie
iMovie
โปรแกรม iMovie ของ Apple โปรแกรมยอดนิยมที่ติดตั้งมากับ macOS เหมือนกับแอปของ Apple ส่วนใหญ่ที่ใช้งานง่าย มีอินเทอร์เฟซลากแล้ววางให้ย้ายไฟล์จากไดรฟ์มาที่หน้าจอตัดต่อได้อย่างสะดวก เป็นวิธีง่ายๆ ในการสร้างวิดีโอคุณภาพสูงที่ช่วยเสริมการตลาดบน YouTube ของคุณ
ข้อดีสำคัญของ iMovie คือไฟล์จะถูกเก็บบนคลาวด์ของ Apple ทำให้คุณทำงานโปรเจกต์เดียวกันได้อย่างต่อเนื่องทั้งบน iPhone, iPad และ Mac นอกจากนี้ iMovie ยังได้รับการอัปเดตอย่างสม่ำเสมอ มีฟีเจอร์ใหม่ๆ และการปรับปรุงให้ดีขึ้นเสมอ
รองรับ: Mac, iOS
ราคา: ฟรี
ลายน้ำ: ไม่มี
ฟีเจอร์ของ iMovie
- ความละเอียด 4K
- การจัดเก็บในคลาวด์
- การสร้างแอนิเมชันชื่อและเครดิตในระดับสตูดิโอ
- ฟิลเตอร์วิดีโอสำหรับแนวเพลงเฉพาะ
- คลังเพลงและเสียงเอฟเฟกต์ในตัว
- การบันทึกเสียงพากย์
- การควบคุมความเร็วสำหรับฉากแอ็กชั่นและไฮไลท์สโลว์โมชั่น
ข้อดี
ข้อเสีย
4. โปรแกรมตัดต่อฟรีที่เหมาะกับมือใหม่: VideoPad
VideoPad
VideoPad เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับคนที่อยากสร้างวิดีโอคุณภาพสูงโดยไม่ต้องเสียเงิน ด้วย VideoPad คุณจะได้ฟีเจอร์ง่ายๆ และใช้งานสะดวกมากมาย เช่น การตัดต่อวิดีโอ 3 มิติ และคลังเสียงประกอบ ช่วยให้ลองแต่งวิดีโอในสไตล์ต่างๆ ได้หลากหลาย
คุณสามารถตัดต่อด้วยเอฟเฟกต์พิเศษ เลเยอร์ข้อความ และทรานซิชัน รวมถึงปรับสีและระดับเสียง เมื่อเสร็จแล้วก็ส่งออกวิดีโอไปยัง YouTube Facebook หรือ Google Drive ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย
ข้อเสียหลักของ VideoPad คือโปรแกรมค่อนข้างเรียบง่ายเกินไปสำหรับการตัดต่อขั้นสูง ไม่มีฟีเจอร์เยอะเทียบกับโปรแกรมฟรีอื่นๆ ในลิสต์นี้ แต่ถ้ามองแค่ฟีเจอร์ปรับแสงสีและใส่ข้อความแล้ว โปรแกรมนี้ก็น่าดาวน์โหลดมาใช้งานฟรีได้อย่างคุ้มค่า
รองรับ: Mac, Windows, Android, iOS
ราคา: ฟรี
ลายน้ำ: ไม่มี
ฟีเจอร์ของ VideoPad
- มุมมองแบบสองหน้าจอ
- การตั้งค่าการส่งออกที่ตั้งไว้ล่วงหน้าสำหรับ Facebook, YouTube และแพลตฟอร์มอื่นๆ
- คลังขนาดใหญ่ของการเปลี่ยนภาพและเอฟเฟกต์ภาพที่ปรับแต่งได้
- เครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพวิดีโอ รวมถึงระบบกันสั่น
ข้อดี
ข้อเสีย
5. โปรแกรมตัดต่อฟรีที่เหมาะกับมือโปร: DaVinci Resolve
DaVinci Resolve
DaVinci Resolve รวมการตัดต่อระดับมืออาชีพที่รองรับความละเอียดสูงถึง 8K การปรับสี เอฟเฟกต์ภาพ และการปรับแต่งเสียงหลังการผลิตไว้ในเครื่องมือเดียว จึงเป็นโปรแกรมที่บรรณาธิการมืออาชีพของภาพยนตร์ รายการทีวี และโฆษณาหลายคนเลือกใช้
DaVinci รองรับการตัดต่อทั้งแบบออฟไลน์และออนไลน์ พร้อมด้วยระบบเล่นวิดีโอประสิทธิภาพสูงที่ช่วยประหยัดเวลาเมื่อตัดต่อคลิป แม้ไฟล์ที่ใช้จะเป็นฟอร์แมตที่ใช้พลังประมวลผลสูง เช่น H.264 และ RAW ฟีเจอร์ที่ซับซ้อนของ DaVinci อาจมากเกินไปสำหรับบางคน แต่เวอร์ชันฟรีเหมาะกับโปรเจกต์ระดับกลาง
รองรับ: Windows, Mac, และ Linux
ราคา: ฟรี (ประมาณ 7,990 บาทสำหรับเวอร์ชัน Studio เต็มรูปแบบ)
ลายน้ำ: ไม่มี
ฟีเจอร์ของ DaVinci Resolve
- ระบบไทม์ไลน์คู่ช่วยให้เลื่อนดูและตัดต่อได้รวดเร็ว
- อินเทอร์เฟซสำหรับตัดแต่งวิดีโอโดยเฉพาะ
- ระบบตัดต่ออัตโนมัติอัจฉริยะสำหรับซิงก์เสียงกับวิดีโอ
- ฟีเจอร์ภาพซ้อนภาพ ระบบกันสั่น และซูมแบบไดนามิก
- ระบบจดจำใบหน้าและจัดเรียงผู้คนโดยอัตโนมัติ
- การเปลี่ยนความเร็วโดยการประเมินการเคลื่อนไหวและแปลงอัตราเฟรม
ข้อดี
ข้อเสีย
6. โปรแกรมตัดต่อฟรีแบบไม่มีลายน้ำ: VSDC
VSDC
โปรแกรมตัดต่อวิดีโอสำหรับเดสก์ท็อปของ VSDC มีทั้งเวอร์ชันฟรีและแบบเสียเงิน แม้เวอร์ชันฟรีจะมีฟีเจอร์น้อยกว่า แต่ยังมาพร้อมชุดเครื่องมือตัดต่อครบครัน รวมถึงเครื่องมือมาสก์และฟังก์ชันคีย์โครมา (chroma key) สำหรับทำเอฟเฟกต์ฉากเขียว VSDC เป็นโปรแกรมตัดต่อวิดีโอฟรียอดนิยมที่ใช้กับฟุตเทจจากกล้อง GoPro
ถ้าคุณมีงบสำหรับเวอร์ชันเต็ม ชุดเครื่องมือจะขยายเพิ่มความสามารถ เช่น ระบบกันสั่น เอฟเฟกต์หลังการผลิตที่หลากหลาย ฟีเจอร์สไลด์โชว์/พรีเซนเทชัน เทมเพลตไดอะแกรม 3 มิติ และการแชร์ไปยังโซเชียลมีเดียโดยตรง
รองรับ: Windows
ราคา: ฟรี (ประมาณ 1,020 บาทสำหรับเวอร์ชันโปร)
ลายน้ำ: ไม่มี
ฟีเจอร์ของ VSDC:
- ปรับสีวิดีโอได้อย่างละเอียด
- มีคลังเอฟเฟกต์ทรานซิชันครบครัน
- เครื่องมือมาสก์สำหรับซ่อน เบลอ หรือเน้นจุดสำคัญในวิดีโอ
- รองรับ HEVC/H.265 มาตรฐานบีบอัดวิดีโอขั้นสูง
ข้อดี
ข้อเสีย
7. โปรแกรมตัดต่อฟรีที่เหมาะกับคนระดับกลาง: OpenShot
OpenShot
OpenShot อินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่าย เหมาะสำหรับผู้ตัดต่อวิดีโอระดับเริ่มต้นและระดับกลาง แม้โปรแกรมที่ซับซ้อนกว่าอาจมีฟีเจอร์เยอะกว่า แต่ดีไซน์เรียบง่ายของ OpenShot เหมาะกับงานตัดต่อเบื้องต้น
OpenShot เป็นตัวเลือกที่มีประสิทธิภาพสำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการสร้างโฆษณาและโพสต์โซเชียลมีเดีย โปรแกรมนี้เหมาะสำหรับการปรับขนาดคลิป การย่อขยาย การตัด การล็อกตำแหน่ง และการหมุน นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์เลื่อนเครดิต การก้าวเฟรม การแม็ปเวลา การตัดต่อเสียง และพรีวิวแบบเรียลไทม์
รองรับ: Windows, Mac, และ Linux
ราคา: ฟรี
ลายน้ำ: ไม่มี
ฟีเจอร์ของ OpenShot:
- รองรับเลเยอร์ไม่จำกัดสำหรับพื้นหลังและแทร็กเสียง
- มีเทมเพลตการ์ดชื่อเรื่องที่ปรับแต่งได้
- เอฟเฟกต์วิดีโอดิจิทัลรวมถึงการคอมโพสิตด้วยคีย์โครมา
- รองรับแอนิเมชันแบบคีย์เฟรมสำหรับวิดีโอแอนิเมชัน
ข้อดี
ข้อเสีย
✕ OpenShot เหมาะกับการตัดและรวมคลิปมากกว่าการเพิ่มเอฟเฟกต์
8. โปรแกรมตัดต่อฟรีที่เด่นเรื่องตัดต่อเสียง: Shotcut
Shotcut
Shotcut เป็นโปรแกรมตัดต่อวิดีโอแบบโอเพนซอร์สที่ใช้งานได้บนหลายแพลตฟอร์ม มีวิดีโอสอนใช้งานมากมาย รองรับไฟล์หลากหลายรูปแบบ เช่น FFmpeg, 4K, ProRes และ DNxHD แต่เนื่องจาก Shotcut ถูกออกแบบมาเพื่อ Linux โดยเฉพาะ อินเทอร์เฟซอาจดูแปลกตาไปบ้างสำหรับบางคน ถึงอย่างนั้นก็ยังถือเป็นโปรแกรมตัดต่อวิดีโอคุณภาพสูง
Shotcut ยังมีตัวเลือกการตัดต่อเสียงอย่างละเอียด เหมาะสำหรับคนที่ใส่ใจเรื่องเสียง เครื่องมือปรับแต่งเสียงช่วยให้ผู้ใช้ปรับเบสและแหลม สร้างฟิลเตอร์แบบ bandpass ปรับเกน เพิ่มการบีบอัดแบบไดนามิก และอื่นๆ อีกมากมาย
รองรับ: Windows, Mac, และ Linux
ราคา: ฟรี
ลายน้ำ: ไม่มี
ฟีเจอร์ของ Shotcut:
- รองรับรูปแบบไฟล์ด้วย FFmpeg
- ตัดต่อบนไทม์ไลน์ได้โดยตรง
- ฟิลเตอร์เสียงขั้นสูง เช่น Bandpass และ Compressor
- รองรับการถอดรหัสและเข้ารหัส AV1
ข้อดี
ข้อเสีย
9. โปรแกรมตัดต่อฟรีที่ดีที่สุดสำหรับ Windows 11: Microsoft Clipchamp
Clipchamp
Microsoft Clipchamp ติดตั้งมาให้พร้อมกับ Windows 11 เป็นหนึ่งในโปรแกรมตัดต่อวิดีโอที่ใช้งานง่ายที่สุดในลิสต์นี้ มาพร้อมฟีเจอร์ช่วยประหยัดเวลาหลายอย่าง เช่น การตัดต่อเป็นชุด การสร้างคำบรรยายอัตโนมัติ และฟีเจอร์แปลงข้อความเป็นเสียง
Clipchamp ให้คุณตัดต่อวิดีโอจากทั้งการบันทึกหน้าจอและไฟล์วิดีโอที่อัปโหลด มีเครื่องมือลากและวาง พร้อมเทมเพลตและเพลงประกอบที่ออกแบบมาอย่างดีให้เลือกใช้ในงานของคุณ
รองรับ: Windows
ราคา: ฟรี
ลายน้ำ: ไม่มี
ฟีเจอร์ของ Clipchamp:
- ฟีเจอร์โค้ชผู้พูดช่วยแนะนำการพูด
- เอ็กซ์พอร์ตวิดีโอความละเอียด 1080p ได้ไม่จำกัด
- มีฟีเจอร์ตัดต่อด้วย AI
- มีคลังเพลงไม่มีลิขสิทธิ์ให้ใช้ฟรี
ข้อดี
ข้อเสีย
10. โปรแกรมฟรีที่ใช้งานง่ายด้วย AI: Vimeo Create
Vimeo Create
Vimeo Create คือโปรแกรมตัดต่อวิดีโอฟรีที่เชื่อมต่อกับร้านค้า Shopify ของคุณได้โดยตรง ช่วยเปลี่ยนภาพสินค้าและข้อความที่มีอยู่ให้เป็นวิดีโออีคอมเมิร์ซที่ดูมืออาชีพโดยไม่ต้องมีประสบการณ์ตัดต่อวิดีโอ
คุณเพียงแค่ตอบคำถามเกี่ยวกับสินค้า ใส่ฟุตเทจและโลโก้ และเลือกการปรับแต่งสไตล์ต่างๆ โปรแกรมจะตัดต่อวิดีโอให้อัตโนมัติภายในไม่กี่นาที (แต่คุณก็สามารถเลือกสไตล์เองหรือเริ่มจากศูนย์ได้เช่นกัน) โปรแกรม AI ยังช่วยแนะนำสี ธีม เพลง และฟอนต์อีกด้วย
Vimeo Create เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการสร้างวิดีโอจำนวนมาก เช่น หากคุณต้องการเปิดช่องธุรกิจบน YouTube เพื่อสร้างรายได้และอยากทำให้กระบวนการสร้างวิดีโอง่ายขึ้น เพราะ Vimeo เป็นโซลูชันครบวงจร คุณจึงสามารถจัดการ โฮสต์ และแจกจ่ายวิดีโอทั้งหมดได้จากที่เดียว ทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น
รองรับ: iOS และ Android
ราคา: ฟรี (ฟีเจอร์ขั้นสูงเริ่มต้นที่ประมาณ 408 บาทต่อเดือน)
ลายน้ำ: ไม่มี
ฟีเจอร์ของ Vimeo Create:
- มีเทมเพลตมากกว่า 1,000 แบบ
- ฟีเจอร์จดจำใบหน้า
- ตัดภาพอัตโนมัติ
- เชื่อมต่อกับ iStock สำหรับรูปภาพสต็อกไม่จำกัด
- มีคลังเพลงลิขสิทธิ์สำหรับใช้งานเชิงพาณิชย์
ข้อดี
ข้อเสีย
11. โปรแกรมตัดต่อฟรีที่ดีที่สุดบนมือถือ: KineMaster
KineMaster
ถ้าคุณต้องตัดต่อวิดีโอระหว่างเดินทาง KineMaster คือโปรแกรมที่ควรใช้ แอปตัดต่อวิดีโอฟรี (มีแบบสมัครสมาชิกเสริม) ที่ทรงพลังและเหมาะกับอุปกรณ์มือถือ ด้วย KineMaster คุณสามารถถ่าย ทำ และอัปโหลดวิดีโอจากโทรศัพท์หรือแท็บเล็ตได้ง่ายๆ
นักตัดต่อวิดีโอมือถือมักต้องแลกกับฟีเจอร์ขั้นสูงเพื่อให้งานง่ายขึ้น แต่ KineMaster ทำตรงกันข้าม คุณสามารถตัด ต่อ คร็อป และรวมวิดีโอได้อย่างง่ายดาย พร้อมด้วยทรานซิชันและเอฟเฟกต์ดาวน์โหลดได้มากกว่า 2,500 แบบ ใช้ฟิลเตอร์สีและปรับแต่งเพื่อแก้ไขและเพิ่มความโดดเด่นให้วิดีโอ เมื่อเสร็จแล้วก็แชร์ไปยัง YouTube TikTok Reels Stories และแพลตฟอร์มอื่นๆ ได้ทันที
รองรับ: iOS, Android, Chromebook.
ราคา: ฟรี (ประมาณ 305 บาทต่อเดือนสำหรับแผนแบบชำระเงิน)
ลายน้ำ: มี
ฟีเจอร์ของ KineMaster:
- ฟีเจอร์สำรองโปรเจกต์เพื่อความปลอดภัยเพิ่มขึ้น
- ตัวเลือกการผสมภาพเพื่อสร้างเอฟเฟกต์วิดีโอเชิงศิลป์
- เครื่องมือสำหรับปรับจุดโฟกัสและทรานซิชันในกล้อง
- ตัดต่อและเอ็กซ์พอร์ตวิดีโอ 4K ที่ 60 เฟรมต่อวินาที
ข้อดี
ข้อเสีย
12. โปรแกรมตัดต่อฟรีที่ใช้งานผ่านเบราว์เซอร์: Movie Maker Online
Movie Maker Online
Movie Maker Online คือโปรแกรมตัดต่อวิดีโอที่ใช้งานผ่านเว็บเบราว์เซอร์ที่ดีที่สุด เป็นเครื่องมือฟรีสำหรับคนที่อยากสร้างวิดีโอ แต่ก็มีข้อจำกัดบางอย่าง เครื่องมือนี้มีโฆษณาแสดงอยู่ ดังนั้นคุณอาจต้องคลิกข้ามโฆษณาไปบ้างเพื่อแก้ไขวิดีโอ และจำกัดความยาววิดีโอสูงสุดที่ 10 นาที ซึ่งเหมาะกับการใช้งานส่วนใหญ่
อินเทอร์เฟซของโปรแกรมมีความแปลกเล็กน้อย โดยเส้นเวลาวิดีโอและเสียงจะอยู่ในแนวตั้ง แตกต่างจากโปรแกรมตัดต่อวิดีโอทั่วไปที่อยู่ในแนวนอน ทำให้ต้องใช้เวลาปรับตัวในช่วงแรก แต่ข้อดีคือเข้าถึงได้ง่ายจากหลายอุปกรณ์เพราะเป็นโปรแกรมออนไลน์ทั้งหมด
Movie Maker Online มีฟีเจอร์พื้นฐานทั้งหมดที่คุณต้องการสำหรับการสร้างวิดีโอฟรี นอกจากนี้ยังมีเพลง วิดีโอ และภาพถ่ายฟรีให้ใช้งานเพิ่มด้วย ซึ่งเป็นโบนัสที่ดีมาก
รองรับ: ใช้งานในเบราว์เซอร์
ราคา: ฟรี
ลายน้ำ: ไม่มี
ฟีเจอร์ของ Movie Maker Online:
- ห้องสมุดเพลง เสียง และเอฟเฟกต์เสียงที่ไม่มีลิขสิทธิ์
- การสนับสนุนในตัว
ข้อดี
ข้อเสีย
13. โปรแกรมตัดต่อฟรีที่เหมาะกับอินฟลูเอ็นเซอร์ในโซเชียลมีเดีย: Movavi Video Editor
Movavi
ด้วย Movavi Video Editor คุณสามารถสร้างวิดีโอที่ดูเรียบร้อยและเป็นมืออาชีพได้ด้วยฟีเจอร์ไดนามิกที่หลากหลาย ด้วยอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่ายและฟีเจอร์ที่เข้าใจได้ทันที โปรแกรมนี้จึงเหมาะสำหรับมือใหม่ แต่ก็มีฟีเจอร์ขั้นสูงที่ตอบโจทย์คนทำ Reel สำหรับโซเชียลมีเดียเช่นกัน
ด้วยโปรแกรมนี้ คุณสามารถสร้างวิดีโอที่ทำงานร่วมกับฟอร์แมตไฟล์ได้เกือบทุกชนิด ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ Movavi Video Editor เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับคนที่ต้องการสร้างวิดีโอคุณภาพสูง โดยไม่ต้องใช้เวลามากในการเรียนรู้วิธีใช้งาน
รองรับ: Windows และ Mac
ราคา: ฟรี (เวอร์ชันทดลองเท่านั้น)
ลายน้ำ: มี
ฟีเจอร์ของ Movavi:
- คลังฟีเจอร์เสริมภาพให้ดูดีขึ้น
- วางวิดีโอซ้อนทับพื้นหลังได้
- ปรับสมดุลเสียง
- เพิ่มเลเยอร์ของวิดีโอ เสียง และเอฟเฟกต์ได้หลายชั้น
ข้อดี
ข้อเสีย
14. โปรแกรมตัดต่อฟรีที่เหมาะกับงานอัดหน้าจอ: ActivePresenter
ActivePresenter
ActivePresenter เป็นโปรแกรมอัดหน้าจอและตัดต่อวิดีโอแบบครบวงจร มีทั้งเวอร์ชันฟรีและเวอร์ชันเสียเงิน พัฒนาโดย Atomi Systems โดยเน้นไปที่การสร้างวิดีโอเพื่อการสอนและอีเลิร์นนิง
รองรับ: Windows, Mac, iOS, Android
ราคา: ฟรี (เวอร์ชันที่ชำระเงินเริ่มต้นที่ประมาณ 6,766 บาท)
ลายน้ำ: ไม่มี
ฟีเจอร์ของ ActivePresenter:
- บันทึกวิดีโอได้ทั้งหน้าจอเต็ม หน้าต่างโปรแกรม หรือแอปแบบล็อกหน้าจอ
- มีปุ่มลัดสำหรับจับภาพหน้าจอ
- รองรับภาพซ้อนภาพ (Picture-in-Picture), การแปลงข้อความเป็นเสียง (Text-to-Speech), และการปรับเสียงให้สมดุล
- สร้างแบบทดสอบอินเทอร์แอคทีฟได้
- ส่งออกวิดีโอให้อยู่ในมาตรฐาน SCORM และ xAPI
ข้อดี
ข้อเสีย
15. โปรแกรมตัดต่อฟรีที่ช้ดีสำหรับคลิปสั้นๆ: Video Grabber
Video Grabber
Video Grabber ไม่ได้เป็นแค่โปรแกรมดาวน์โหลดวิดีโอเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เป็นตัวแปลงไฟล์ โปรแกรมอัดหน้าจอ และเครื่องมือตัดต่อวิดีโอเบื้องต้นด้วย จึงจัดว่าเป็นหนึ่งในเครื่องมือสร้างและตัดต่อวิดีโอที่หลากหลายที่สุดในรายการนี้ คุณสามารถใช้แพลตฟอร์มเดียวกันนี้เพื่อดาวน์โหลดวิดีโอ แปลงไฟล์เป็นฟอร์แมตต่างๆ อัดหน้าจอ และทำการตัดต่อวิดีโอแบบพื้นฐานได้
รองรับ: ใช้งานในเบราว์เซอร์
ราคา: ฟรี
ลายน้ำ: ไม่มี
ฟีเจอร์ของ Video Grabber:
- ดาวน์โหลดวิดีโอจากทุกแหล่งออนไลน์
- แปลงไฟล์ได้หลากหลายฟอร์แมต
- ฟังก์ชันอัดหน้าจอพร้อมตั้งค่าการใช้งานได้
- เครื่องมือใส่คำบรรยายในวิดีโอ
- รองรับการประมวลผลแบบกลุ่ม
ข้อดี
ข้อเสีย
วิธีการเลือกโปรแกรมตัดต่อวิดีโอ
มีโปรแกรมตัดต่อวิดีโอแบบเดสก์ท็อปให้เลือกมากมายสำหรับธุรกิจที่ต้องการสร้างวิดีโอโฆษณา ข้อดีที่สำคัญของโปรแกรมตัดต่อวิดีโอฟรีบนเดสก์ท็อปคือ มักจะมีฟีเจอร์หลากหลายมากกว่าบรรดาแอปตัดต่อวิดีโอมือถือ
ไม่ว่าคุณจะกำลังตัดต่อวิดีโอสำหรับ YouTube หรือ TikTok นี่คือสิ่งที่ควรคำนึงถึง
- ประสบการณ์ผู้ใช้: มองหาโปรแกรมที่มีโหมดตัดต่อแบบด่วน เพื่อให้คุณสามารถตัดต่อวิดีโอได้ตามสไตล์ที่ชอบอย่างรวดเร็ว ถ้ามีเทมเพลตให้ใช้งานด้วยก็ยิ่งดี โปรแกรมที่ดีควรมีวิดีโอแนะนำการใช้งาน เพื่อให้คุณเรียนรู้ฟีเจอร์และใช้งานได้คล่องขึ้น
- ฟีเจอร์ในการตัดต่อ: ตรวจสอบว่าโปรแกรมมีเครื่องมือตัดต่อวิดีโอที่ทรงพลังหรือไม่ เช่น หากคุณใช้ฟุตเทจจากโดรน คุณอาจต้องการเอฟเฟกต์ภาพสวยๆ หรือฟีเจอร์การปรับแต่งเฉพาะด้านอย่าง chroma key หรือการเกรดสี และบางคนอาจต้องการฟีเจอร์ระดับสูงอย่างการตัดต่อวิดีโอ 360 องศา
- ค่าใช้จ่ายแอบแฝง: บางโปรแกรมอาจระบุว่า “ใช้ฟรี” แต่พอใช้งานจริงกลับต้องจ่ายเงินเพิ่มเพื่อเข้าถึงฟีเจอร์สำคัญ โปรแกรมที่ใช้ฟรีจริงอาจมีข้อจำกัด เช่น รองรับไฟล์ไม่กี่รูปแบบ หรือประสิทธิภาพต่ำ ดังนั้นควรเลือกโปรแกรมที่ตอบโจทย์การใช้งานพื้นฐานได้โดยไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม
- การสนับสนุน: การมีบริการลูกค้าช่วยเหลือถือว่าสำคัญมากเมื่อคุณยังใหม่กับการตัดต่อวิดีโอ ถ้าคุณมีคำถามเกี่ยวกับฟีเจอร์ การมีที่ให้ถามและหาคำตอบได้จะช่วยได้มาก ตรวจสอบว่าโปรแกรมมีบริการสนับสนุนผ่านอีเมล/โทรศัพท์, คำถามที่พบบ่อย หรือฟอรัมชุมชน ที่คุณจะได้คำตอบจากคนจริงๆ
- ตัวเลือกการส่งออก: คุณจะเผยแพร่วิดีโอที่ไหน ตรวจสอบให้แน่ใจว่า โปรแกรมตัดต่อวิดีโอของคุณสามารถส่งออกวิดีโอคุณภาพสูงในรูปแบบยอดนิยม เพื่อที่คุณจะได้อัปโหลดวิดีโอไปยังช่องทางโซเชียลได้ง่าย
- ข้อกำหนด: โปรแกรมบางตัวใช้ได้เฉพาะกับคอมพิวเตอร์บางประเภท เช่น ไม่ใช่ทุกโปรแกรมในรายชื่อนี้ที่จะทำงานกับ Google Chromebook ก่อนจะลงทุนเวลาเรียนรู้โปรแกรมใด ควรตรวจสอบว่ารองรับคอมพิวเตอร์ที่คุณใช้หรือไม่
สรุป
ตอนนี้ที่คุณรู้จักตัวเลือกต่างๆ สำหรับการหาโปรแกรมตัดต่อวิดีโอฟรีที่ดีที่สุดแล้ว ลองใช้โปรแกรมต่างๆ ดูบ้างเพื่อดูว่าอันไหนเหมาะกับคุณที่สุด แม้ว่าทุกตัวจะมีข้อดีข้อเสียของตัวเอง แต่หวังว่าตอนนี้คุณจะมีความเข้าใจมากขึ้นว่าอันไหนเหมาะกับระดับการผลิตวิดีโอของคุณ
วิดีโอได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีการมีส่วนร่วมมากกว่าภาพหรือโพสต์ข้อความ โดยเฉลี่ยบนทุกแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย วิดีโอที่ทำอย่างมืออาชีพและมีคุณภาพดีจะช่วยดึงดูดความสนใจของผู้ชมและสร้างบุคลิกภาพของแบรนด์คุณ
ด้วยเครื่องมือตัดต่อที่มีให้เลือกมากมาย ความคิดสร้างสรรค์ของเนื้อหาวิดีโอของคุณจึงไม่มีข้อจำกัด
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโปรแกรมตัดต่อวิดีโอฟรี
โปรแกรมตัดต่อวิดีโอคืออะไร
โปรแกรมตัดต่อวิดีโอคือเครื่องมือที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถตัดต่อ แก้ไข สร้าง หรือจัดการไฟล์วิดีโอหรือภาพยนตร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุณสามารถตัดและจัดเรียงวิดีโอเพื่อให้ดูลื่นไหลมากขึ้น ลบส่วนที่ไม่ต้องการ และเพิ่มเอฟเฟกต์เพื่อปรับปรุงคุณภาพวิดีโอ ไม่ว่าธุรกิจจะขนาดเล็กหรือใหญ่ ก็สามารถใช้ประโยชน์จากโปรแกรมตัดต่อวิดีโอที่ดีเพื่อสร้างเนื้อหาวิดีโอที่ทรงพลังได้
โปรแกรมอะไรที่ยูทูบเบอร์ส่วนใหญ่นิยมใช้ตัดต่อวิดีโอ
- Adobe Premiere Pro
- Final Cut Pro X
- Adobe After Effects
- Lightworks
- Freemake
- iMovie
- Shotcut
โปรแกรม OpenShot ตัดต่อวิดีโอฟรีจริงไหม
จริง โปรแกรม OpenShot เป็นโปรแกรมแบบโอเพนซอร์ส ที่โค้ดต้นฉบับเปิดให้ใช้งานได้ฟรี รวมทั้งสามารถแก้ไขและแจกจ่ายได้โดยใครก็ได้
Adobe มีโปรแกรมตัดต่อวิดีโอฟรีไหม
Adobe Express คือโปรแกรมตัดต่อวิดีโอฟรีของ Adobe คุณสามารถตัดวิดีโอ เพิ่มเพลงและข้อความ รวมถึงรวมคลิปวิดีโอและปรับขนาดวิดีโอให้เหมาะกับแพลตฟอร์มต่างๆ ได้


