ฉลากที่ชัดเจนและสแกนได้ง่ายคือหัวใจสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจของคุณดำเนินไปอย่างราบรื่นเบื้องหลัง ไม่ว่าจะเป็นการจัดส่งพัสดุให้เร็วขึ้น ช่วยพนักงานคิดเงินได้ไว หรือทำให้การจัดการสต็อกแม่นยำในทุกช่องทางการขาย
เครื่องปริ้นท์ความร้อนทำงานได้ในไม่กี่วินาที สร้างฉลากคมชัดโดยไม่เปื้อนและไม่ต้องใช้ตลับหมึกเลอะเทอะ ด้วยระบบพิมพ์ด้วยความร้อนแทนหมึกแบบเดิม เครื่องปริ้นท์ประเภทนี้จึงทั้งทนทานและคุ้มค่า เหมาะอย่างยิ่งสำหรับร้านค้าที่กำลังเติบโต
ต่อไปนี้คือลิสต์เครื่องปริ้นท์ความร้อนที่ดีที่สุดในปี 2026 พร้อมคู่มือเลือกซื้อเพื่อช่วยให้คุณหาเครื่องที่เหมาะกับธุรกิจของคุณมากที่สุด
เครื่องปริ้นท์ความร้อนมีลักษณะและการทำงานแบบไหน?
ลองนึกถึงเครื่องปริ้นท์ใบเสร็จในร้านสะดวกซื้อ ซึ่งใช้ความร้อนแทนหมึกในการสร้างตัวอักษรและภาพ โดยมีอยู่สองเทคโนโลยีหลักที่ใช้กันทั่วไป
- การพิมพ์ด้วยความร้อนโดยตรง: ความร้อนจะทำปฏิกิริยากับกระดาษหรือฉลากที่เคลือบสารพิเศษ ทำให้เกิดตัวอักษรและบาร์โค้ด
- การพิมพ์ด้วยการถ่ายโอนความร้อน: ความร้อนจะละลายหมึกจากริบบอนให้ติดลงบนฉลาก เพื่อให้ฉลากคงทนยาวนานกว่า
ทั้งสองวิธีพิมพ์ได้รวดเร็ว เงียบ และแทบไม่มีชิ้นส่วนเคลื่อนไหว อีกทั้งไม่ต้องใช้ตลับหมึกให้ยุ่งยาก
การพิมพ์ด้วยความร้อนโดยตรง กับการพิมพ์ด้วยการถ่ายโอนความร้อน ต่างกันยังไง?
โดยรวมแล้ว การพิมพ์ด้วยความร้อนโดยตรงเหมาะกับฉลากอายุสั้นและต้องการประหยัดต้นทุน เพราะติดตั้งง่าย ดูแลรักษาน้อย ตัวอย่างเช่น ร้านเสื้อผ้าที่พิมพ์ฉลากจัดส่งสินค้ารายวันสำหรับออเดอร์ทางออนไลน์ ซึ่งฉลากเหล่านี้จะติดไปกับพัสดุเพียงไม่กี่วันก่อนถูกทิ้ง
ส่วนการพิมพ์ด้วยการถ่ายโอนความร้อน เหมาะกับฉลากที่ต้องทนแดด ทนความชื้น หรือผ่านการขนส่งที่สมบุกสมบัน แม้จะมีต้นทุนสูงกว่า แต่ฉลากจะมีอายุการใช้งานยาวนานกว่า เช่น ร้านอาหารแช่แข็งที่ใช้ฉลากพลาสติกทนทานซึ่งยังสแกนได้แม้อยู่ในตู้แช่แข็งหรือระหว่างการขนส่ง
รายละเอียดเพิ่มเติมของแต่ละแบบ
- การพิมพ์ด้วยความร้อนโดยตรง
- พิมพ์บนฉลากที่เคลือบสารเคมีให้เปลี่ยนสีเมื่อโดนความร้อน
- ตัวเครื่องมีขนาดกะทัดรัดและดูแลรักษาง่าย (ไม่ต้องใช้ริบบอน)
- ฉลากมีราคาสูงกว่าเล็กน้อย สีจะจางเมื่อเวลาผ่านไป และไม่ทนต่อแสงแดด การขีดข่วน ความชื้น หรือสารเคมี
- เหมาะกับฉลากอายุสั้น (ไม่เกินหกเดือน) เช่น ฉลากจัดส่งสินค้า ตั๋ว ใบเสร็จ และฉลากสินค้าเน่าเสียง่าย
- การพิมพ์ด้วยการถ่ายโอนความร้อน
- ใช้ผ้าหมึกที่เคลือบด้วยหมึกชนิดแว็กซ์หรือเรซิน โดยความร้อนจะทำให้หมึกหลอมละลายและยึดติดลงบนวัสดุต่าง ๆ เช่น กระดาษ โพลีโพรพิลีน หรือโพลีเอสเตอร์
- ให้ผลลัพธ์การพิมพ์ที่คมชัดและทนทานต่อแสงแดด ความชื้น และสารเคมี
- เหมาะสำหรับฉลากที่ต้องการอายุการใช้งานยาวนาน เช่น สินค้าแช่เย็น ฉลากทรัพย์สิน หรือฉลากกลางแจ้ง
การเลือกใช้งานขึ้นอยู่กับลักษณะธุรกิจของคุณ ถ้าต้องการพิมพ์ฉลากจัดส่งสินค้าราคาประหยัดและรวดเร็ว การพิมพ์ด้วยความร้อนโดยตรงก็เพียงพอ แต่ถ้าสินค้าของคุณต้องการฉลากที่คงทนและไม่ซีดจางระหว่างการจัดเก็บหรือขนส่ง การลงทุนในระบบการพิมพ์ด้วยการถ่ายโอนความร้อนก็คุ้มค่าแน่นอน
ประโยชน์ของเครื่องปริ้นท์ความร้อน
มีเครื่องปริ้นท์ความร้อนมากมายในตลาด ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงประโยชน์ของการพิมพ์ความร้อน ต่อไปนี้คือข้อดีที่สำคัญบางประการ
- ต้นทุนต่ำ: เครื่องปริ้นท์ความร้อนไม่ต้องใช้หมึกหรือโทนเนอร์ และไม่ต้องเปลี่ยนอุปกรณ์สิ้นเปลืองบ่อย จึงช่วยลดค่าใช้จ่ายในระยะยาว
- คุณภาพและความเร็ว: เครื่องปริ้นท์ความร้อนหลายรุ่นพิมพ์ได้เร็วระหว่าง 2 ถึง 8 นิ้วต่อวินาที (ips) เร็วกว่าปริ้นเตอร์หมึกทั่วไปมาก สามารถพิมพ์ฉลากคมชัดกว่า 72 แผ่นต่อนาที เหมาะสำหรับงานจัดส่งสินค้าและจุดชำระเงิน
- พกพาและประหยัดพลังงาน: การพิมพ์แบบความร้อนมีขนาดกะทัดรัด เงียบ และใช้พลังงานน้อย เหมาะสำหรับใช้งานที่เคาน์เตอร์หรือในสถานที่เคลื่อนที่
- ใช้งานง่าย: เครื่องปริ้นท์ความร้อนติดตั้งและใช้งานได้ง่าย ต้องการการบำรุงรักษาน้อย ช่วยลดเวลาหยุดชะงักของพนักงาน
- ทนทาน: ด้วยชิ้นส่วนน้อย จึงมีโอกาสเสียหายน้อยกว่า ปริ้นท์เฮดของเครื่องปริ้นท์ความร้อนมักใช้งานได้นานถึง 10 ปี
เครื่องปริ้นท์ความร้อนยี่ห้อไหนดี? มาดู 8 ทางเลือกไฮไลท์กัน
|
เครื่องปริ้นท์ |
เหมาะสำหรับ |
ราคาโดยประมาณ |
|---|---|---|
|
DYMO LabelWriter 5XL |
ปริ้นท์ฉลากปริมาณมากสำหรับการจัดส่ง |
6,900 บาท |
|
Zebra ZD421 |
ปริ้นท์งานระดับปานกลาง |
16,500 บาท |
|
Rollo Wireless |
ปริ้นท์ฉลากผ่าน Wi-Fi |
8,550 บาท |
|
Brother QL-1110NWB |
ปริ้นท์ฉลากสำหรับ Shopify POS |
11,200 บาท |
|
NELKO PL70e |
ปริ้นท์ผ่าน Bluetooth |
3,600 บาท |
|
Zebra ZSB 2” |
โฮมออฟฟิศ |
2,933 บาท |
|
Polono PL60 |
รุ่นประหยัด |
2,640 บาท |
|
MUNBYN RealWriter 403B |
ปริ้นท์แบบพกพาอเนกประสงค์ |
2,805 บาท |
1. DYMO LabelWriter 5XL
เครื่องปริ้นท์ฉลากความร้อนรุ่นนี้เหมาะที่สุดสำหรับร้านค้าออนไลน์ที่มีการจัดส่งสินค้าปริมาณมาก
สเปก:
- ขนาด: 7 x 5.5 x 7.375 นิ้ว
- น้ำหนัก: 4.9 ปอนด์ (ประมาณ 2.2 กิโลกรัม)
- ระบบการพิมพ์: Direct thermal
- ขนาดฉลาก: 4 x 6 นิ้ว (รองรับได้ถึง 4 x 8 นิ้ว)
- ความละเอียด: 300dpi
- การเชื่อมต่อ: พอร์ต Ethernet
- การใช้งานร่วมกับระบบ: Windows และ Mac
เมื่อคุณมีคำถามว่าจะซื้อเครื่องปริ้นท์ความร้อนยี่ห้อไหนดี? หนึ่งในคำตอบที่เราอยากแนะนำคือ DYMO LabelWriter 5XL เพราะใช้งานง่ายตั้งแต่เริ่มต้น ให้ความสมดุลที่ลงตัวระหว่างคุณภาพ ความเร็ว และความคงทนที่เครื่องรุ่นอื่นยากจะเทียบได้ ดีไซน์กะทัดรัด ทันสมัย และให้ความเร็วสูงที่ความละเอียด 300dpi พร้อมลดเศษฉลากที่สูญเปล่าลงได้ถึง 65% ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว
ตัวเครื่องสามารถตรวจจับฉลากยี่ห้อ DYMO ได้โดยอัตโนมัติ แสดงประเภท ขนาด และจำนวนฉลากที่เหลือ ทำให้คุณได้ฉลากคมชัด ลอกออกง่าย และพร้อมใช้งานได้ทันที
ขั้นตอนการตั้งค่าง่ายมาก เพียงดาวน์โหลดซอฟต์แวร์ DYMO Connect แล้วเชื่อมต่อเครื่องเข้ากับปลั๊กไฟและคอมพิวเตอร์ ก็สามารถเริ่มใช้งานได้ทันที
DYMO 5XL LabelWriter ยังรองรับการทำงานร่วมกับบริการขนส่งและแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซชั้นนำ เช่น UPS, DHL, USPS, FedEx, Shippo, Easyship, Amazon, Poshmark, eBay และ Shopify จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องจัดส่งสินค้าอีคอมเมิร์ซปริมาณมาก ซึ่งความเร็วและต้นทุนต่อชิ้นมีผลโดยตรงต่อกำไรของธุรกิจ
ข้อดี:
- พิมพ์คุณภาพสูง
- รวดเร็ว
- พกพาได้
- ตั้งค่าได้ง่าย
- ใช้งานง่ายมาก
- สามารถเปลี่ยนม้วนฉลากระหว่างรูปแบบได้ในไม่กี่วินาที
- พิมพ์จำนวนฉลากที่แม่นยำได้อย่างง่ายดาย
ข้อเสีย:
- มีขนาดใหญ่กว่าเครื่องปริ้นท์ความร้อนที่คล้ายกัน
- ไม่สามารถพิมพ์ฉลากที่ไม่ใช่ DYMO ได้
- ผู้ใช้บางคนบอกว่ามันติดได้ง่าย
- ไม่ทำงานกับอุปกรณ์มือถือ
- ไม่มีการเชื่อมต่อ USB หรือ Bluetooth
ราคา: ประมาณ 6,900 บาท
2. Zebra ZD421 Label Printer
เหมาะสำหรับร้านค้าปลีกหรือคลังสินค้าที่มีการพิมพ์ฉลากในปริมาณปานกลาง
สเปก:
- ขนาด: 8.69 x 6.98 x 5.93 นิ้ว
- น้ำหนัก: 3.6 ปอนด์ (ประมาณ 1.63 กิโลกรัม)
- ระบบการพิมพ์: Dual thermal (รองรับทั้ง Direct thermal และ Thermal transfer)
- ขนาดฉลาก: 4 x 6 นิ้ว
- ความละเอียด: 203dpi (สามารถอัปเกรดเป็น 300dpi ได้)
- การเชื่อมต่อ: USB และ Ethernet
- การใช้งานร่วมกับระบบ: Windows, Android และ iOS
เครื่องปริ้นท์ Zebra ZD421 มาพร้อมดีไซน์ฝาเปิดแบบ clamshell ที่แข็งแรงทนทาน เหมาะสำหรับงานพิมพ์ต่อเนื่องในทุกสภาพแวดล้อม จุดเด่นคือเทคโนโลยี Dual thermal printing ที่ให้คุณเลือกได้ระหว่างการพิมพ์แบบ Direct thermal หรือ Thermal transfer ตามความต้องการของงาน
นอกจากนี้ยังมาพร้อมฟีเจอร์ครบครัน เช่น ตัวตัดฉลากอัตโนมัติ ระบบจัดการฉลาก ใบเสร็จ และแท็กที่ใช้งานง่าย รวมถึงความเร็วในการพิมพ์สูง ความคมชัดยอดเยี่ยมสำหรับฉลากหลากหลายประเภท และได้รับการรับรอง Energy Star เรื่องการประหยัดพลังงาน
เครื่องรุ่นนี้ยังรองรับหลายภาษาและฟอนต์ จึงช่วยให้ธุรกิจสามารถออกแบบฉลากได้อย่างอิสระและสอดคล้องกับเอกลักษณ์ของแบรนด์
ข้อดี:
- ใช้งานง่าย
- น้ำหนักเบาและทนทาน
- พกพาสะดวก
- ประหยัดพลังงาน
- คุ้มค่าระยะยาว
ข้อเสีย:
- ราคาค่อนข้างสูง
- ไม่มีการเชื่อมต่อ Wi-Fi
- ความละเอียดจำกัด ไม่เหมาะกับงานพิมพ์ตัวอักษรขนาดเล็ก
ราคา: ประมาณ 16,500 บาท
3. Rollo Wireless Thermal Printer
ดีที่สุดสำหรับการพิมพ์ฉลากความร้อนแบบไร้สาย
สเปก:
- ขนาด: 3 x 7 x 3.5 นิ้ว
- น้ำหนัก: 3.39 ปอนด์ (1.537 กิโลกรัม)
- วิธีการพิมพ์: ความร้อนโดยตรง
- ขนาดฉลาก: 1.57” ถึง 4.1”
- ความละเอียดการพิมพ์: 203dpi
- การเชื่อมต่อ: WiFi, USB, รองรับ AirPrint
- ระบบที่รองรับ: Windows, Mac, iOS, Android, Chromebook, Linux
เครื่องปริ้นท์ Rollo Wireless ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับการพิมพ์แบบไร้สายโดยเฉพาะ
กระบวนการตั้งค่านั้นง่ายและเป็นมิตรต่อผู้ใช้มาก เพียงเชื่อมต่อผ่าน USB ครั้งแรก จากนั้นก็สามารถพิมพ์ผ่าน Wi-Fi ได้ทันทีโดยไม่ยุ่งยาก เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มความคล่องตัวให้กับขั้นตอนการจัดการออเดอร์
ถึงแม้เครื่องรุ่นนี้จะมีดีไซน์สิทธิบัตรเฉพาะตัวในการพิมพ์ฉลาก แต่ถาดพลาสติกที่ค่อนข้างเทอะทะอาจทำให้เสียคะแนนด้านความสะดวกไปเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม Rollo ไม่จำเป็นต้องใช้กระดาษฉลากเฉพาะแบรนด์ และสามารถพิมพ์ได้อย่างคมชัดที่ความเร็วสูงถึง 150 มิลลิเมตรต่อวินาที หรือเทียบเท่ากับฉลากขนาด 4 x 6 นิ้วต่อวินาที
เช่นเดียวกับเครื่องพิมพ์จาก Zebra เครื่องปริ้นท์ Rollo รุ่นนี้มาพร้อมแอปสำหรับสร้างฉลากแบบกำหนดเอง ผู้ใช้สามารถออกแบบบาร์โค้ด ฉลากสินค้า QR code หรือสติ๊กเกอร์ขอบคุณได้อย่างอิสระผ่านแอป Rollo
นอกจากนี้ Rollo ยังมีแอป Ship Manager ที่ช่วยให้การจัดการออเดอร์เป็นเรื่องง่ายและคุ้มค่ามากขึ้น แอปนี้สามารถเชื่อมต่อกับทุกแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ดึงออเดอร์จากร้านค้าโดยอัตโนมัติ และจัดกลุ่มคำสั่งซื้อได้ในที่เดียว รองรับทุกมาร์เก็ตเพลสหลัก เช่น Amazon, eBay, Etsy และ Shopify
Rollo ยังสามารถใช้งานร่วมกับแพลตฟอร์มขนส่งหลักทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น UPS, FedEx, USPS, ShipStation และ Shippo จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจที่ต้องจัดการคำสั่งซื้อจากหลายช่องทางพร้อมกัน
ข้อดี:
- เข้ากันได้กับระบบปฏิบัติการหลักทั้งหมด
- ทำงานกับฉลากความร้อนส่วนใหญ่
- เข้ากันได้กับทุกตลาด
- ไม่ต้องการการติดตั้งไดรเวอร์ใดๆ
ข้อเสีย:
- ไม่มีการเชื่อมต่อ Bluetooth
- ต้องการแอป Rollo
ราคา: ประมาณ 8,550 บาท
4. Brother QL-1110NWB WiFi Label Printer
ดีที่สุดสำหรับการพิมพ์ฉลากการจัดส่งด้วย Shopify POS
สเปก:
- ขนาด: 6.70 x 8.75 x 5.95 นิ้ว
- น้ำหนัก: 3.83 ปอนด์ (1.735 กิโลกรัม)
- วิธีการพิมพ์: ความร้อนโดยตรง
- ขนาดฉลาก: 4” x 6” (พิมพ์ได้สูงสุด 4.1”)
- ความละเอียดการพิมพ์: 300dpi
- การเชื่อมต่อ: USB, WiFi, พอร์ต LAN/Ethernet, Bluetooth
- ระบบที่รองรับ: Windows, Mac, iOS, Android
Brother QL-1110NWB เป็นเครื่องปริ้นท์ความร้อนยี่ห้อดังที่ประกอบ ตั้งค่า และใช้งานได้ง่ายมาก เริ่มต้นใช้งานได้เพียงดาวน์โหลดไดรเวอร์จากเว็บไซต์ Brother ติดตั้งลงในคอมพิวเตอร์ จากนั้นกำหนดขนาดฉลากที่ต้องการ พอใส่ม้วนเทปเข้าไป เครื่องจะตรวจจับขนาดฉลากโดยอัตโนมัติและปรับเทมเพลตบนหน้าจอให้ตรงก่อนพิมพ์ทันที
เครื่องรุ่นนี้พิมพ์ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ รองรับการทำงานของธุรกิจอีคอมเมิร์ซยุคใหม่ได้อย่างดีเยี่ยม ด้วยความสามารถในการพิมพ์ฉลากคุณภาพสูงได้มากถึง 69 แผ่นต่อนาที ช่วยประหยัดเวลาและทำให้กระบวนการจัดส่งเป็นไปอย่างราบรื่น
ตัวเครื่องมีใบมีดตัดอัตโนมัติที่ช่วยจัดการงานพิมพ์ฉลากจัดส่งปริมาณมากได้อย่างเรียบร้อย สะดวกสำหรับผู้ที่ต้องทำงานหลายอย่างพร้อมกัน อีกทั้งยังมีฟังก์ชัน ตัดขอบอัตโนมัติ (automatic crop) ซึ่งช่วยให้พิมพ์ฉลากสินค้าและบาร์โค้ดได้อย่างแม่นยำโดยไม่เปลืองวัสดุ
แม้ราคาจะสูงกว่ารุ่นอื่นในรายการ แต่ก็คุ้มค่ากับฟังก์ชันการเชื่อมต่อที่หลากหลาย ทั้ง Bluetooth, USB และ Wi-Fi อีกทั้งยังสามารถใช้งานได้กับทั้ง iOS และ Android ไม่จำกัดแค่ Windows หรือ macOS
เครื่องพิมพ์ Brother QL รุ่นนี้ยังทำงานร่วมกับระบบ Shipping ของ Shopify ได้อย่างราบรื่น หากคุณจัดส่งสินค้าจากคลังสินค้า สามารถเชื่อมเครื่องกับคอมพิวเตอร์เพื่อพิมพ์จากหน้า Shopify admin ได้โดยตรง ส่วนร้านค้าที่ใช้ Shopify POS ก็สามารถเชื่อมกับอุปกรณ์ iOS หรือ Android เพื่อเปลี่ยนร้านค้าหน้าให้กลายเป็นจุดจัดส่งขนาดย่อมได้ทันที
ข้อดี:
- น้ำหนักเบาและพกพาได้
- การออกแบบที่เรียบง่ายและกะทัดรัด
- ใช้งานง่าย
- พิมพ์ฉลากที่ชัดเจนและมีคุณภาพสูง
- ความเร็วสูงมาก
- เงียบและมีประสิทธิภาพ
- ทนทานและเชื่อถือได้
- ทำงานร่วมกับ Shopify POS สำหรับการจัดส่งจากร้านค้าปลีก
ข้อเสีย:
- มีปัญหาเกี่ยวกับการเชื่อมต่อเป็นครั้งคราว
- มีราคาสูงกว่าเครื่องที่คล้ายกัน
ราคา: ประมาณ 11,200 บาท
เครื่องปริ้นท์ความร้อนยี่ห้อไหนดีที่สุดด้านราคา?
การเริ่มต้นธุรกิจไม่จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนก้อนใหญ่เสมอไป โดยเฉพาะเรื่องอุปกรณ์การพิมพ์ ยังมีเครื่องปริ้นท์ความร้อนราคาย่อมเยาที่คุณสามารถเริ่มต้นใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องจ่ายแพงเกินไป
5. Zebra ZSB 2” Wireless Label Printer
ดีที่สุดสำหรับธุรกิจขนาดเล็กและโฮมออฟฟิซที่ใช้การจัดส่งขนาดเล็ก

สเปก:
- ขนาด: 5.14 x 7.17 x 5.04 นิ้ว
- น้ำหนัก: 1.8 ปอนด์ (0.81 กก.)
- วิธีการพิมพ์: ระบบความร้อนโดยตรง (Direct Thermal)
- ขนาดฉลาก: 2 นิ้ว
- ความละเอียดการพิมพ์: 300dpi
- การเชื่อมต่อ: Wi-Fi, Bluetooth, รองรับ Apple AirPrint และ Android PrintService
- ระบบที่รองรับ: Windows, Mac, Android และ iOS
เครื่องปริ้นท์ความร้อนยี่ห้อ Zebra ZSB 2” ไร้สาย ดีไซน์กะทัดรัดที่ทั้งใช้งานง่ายและสวยงาม เหมาะอย่างยิ่งสำหรับเจ้าของธุรกิจที่ทำงานจากบ้าน เพราะขนาดเล็ก น้ำหนักไม่ถึงหนึ่งกิโลกรัม และประหยัดพื้นที่วางบนโต๊ะหรือชั้นหนังสือ อีกทั้งยังให้คุณภาพการพิมพ์ที่คมชัด พร้อมต้นทุนต่อการใช้งานที่เหมาะสมกับธุรกิจขนาดเล็กหรือโฮมออฟฟิศ
ขั้นตอนการตั้งค่าเรียบง่ายมาก แค่เปิดเครื่อง สแกน QR โค้ดจากฉลากที่เครื่องพิมพ์ออกมาอัตโนมัติเพื่อดาวน์โหลดแอป ZSB Series จากนั้นทำตามขั้นตอนในแอปเพื่อเชื่อมต่อเครื่องปริ้นท์ คุณยังสามารถใช้เครื่องมือออกแบบฉลาก Zebra Label Designer เพื่อสร้างดีไซน์ฉลากของคุณเองก่อนพิมพ์ได้ด้วย
ZSB 2” ใช้ตลับฉลาก ZSB Series ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและย่อยสลายได้ และสามารถพิมพ์ได้สูงสุดถึง 73 ฉลากต่อหนึ่งนาที โดยแอป ZSB จะแสดงจำนวนฉลากที่เหลือและขนาดตลับฉลากปัจจุบันให้คุณตรวจสอบได้ง่าย
เหมือนกับเครื่องปริ้นท์ความร้อนส่วนใหญ่ ZSB 2” รองรับการใช้งานร่วมกับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซและการจัดส่ง เช่น Shopify Amazon eBay Etsy UPS FedEx USPS และอื่น ๆ รวมถึงยังเชื่อมต่อกับ Google Contacts และ Microsoft Office เพื่อดึงข้อมูลมาใช้กับฉลากได้อย่างสะดวก
ข้อดี:
- กะทัดรัด น้ำหนักเบา
- งานปริ้นท์คุณภาพสูง
- รูปแบบฉลากหลากหลาย
- รองรับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซและขนส่งเจ้าดังๆ
ข้อเสีย:
- ไม่รองรับการเชื่อมต่อ USB
- ต้องใช้แอป Zebra บนมือถือ และตลับฉลาก
ราคา: ประมาณ 2,933 บาท
6. NELKO PL70e Bluetooth Thermal Printer
ดีที่สุดสำหรับธุรกิจที่มองหาเครื่องปริ้นท์ความร้อน Bluetooth ที่ทำงานได้รวดเร็ว ราคาประหยัด
สเปก:
- ขนาด: 9 x 5 x 6 นิ้ว
- น้ำหนัก: 3.08 ปอนด์ (1.4 กิโลกรัม)
- วิธีการพิมพ์: ความร้อนโดยตรง
- ขนาดฉลาก: 1.54” ถึง 4.1”
- ความละเอียดการพิมพ์: 203dpi
- การเชื่อมต่อ: Bluetooth, USB
- ระบบที่รองรับ: Windows, Mac, Android, iOS, Chromebook, Linux
NELKO PL70e สร้างความประทับใจตั้งแต่แรกเห็น ด้วยรูปลักษณ์ที่ทันสมัยและเรียบง่าย
เมื่อติดตั้งแล้ว ก็ยิ่งน่าประทับใจยิ่งขึ้นเมื่อใช้งานจริง เพราะสามารถพิมพ์ฉลากขนาด 4 x 6 นิ้วได้สูงสุดถึง 72 แผ่นต่อนาที ด้วยเทคโนโลยีการพิมพ์ความร้อนแบบตรง (Direct Thermal) ที่ทันสมัย จึงเหมาะสำหรับงานพิมพ์ประจำวันทุกประเภท คุณภาพการพิมพ์โดยรวมถือว่ายอดเยี่ยม ภาพกราฟิกคมชัด สีสด และข้อความดูเข้มสม่ำเสมอ
ขนาดของ PL70e อยู่ที่ 9 x 5 x 6 นิ้ว ซึ่งถือว่าค่อนข้างกะทัดรัดแต่ก็อาจจะดูใหญ่เล็กน้อยสำหรับโต๊ะทำงานขนาดเล็ก รองรับฉลากแบบพับและแบบม้วนกว้างตั้งแต่ 1.54 ถึง 4.1 นิ้ว และสามารถพิมพ์ฉลากสำหรับแพลตฟอร์มต่าง ๆ ได้แทบทุกแพลตฟอร์ม เช่น Amazon Poshmark eBay Shopify UPS USPS Etsy และอื่น ๆ
คู่มือการตั้งค่าของ NELKO อ่านเข้าใจง่าย และขั้นตอนการติดตั้งก็เรียบง่ายสุด ๆ ผ่านแอป Nelko ที่ดาวน์โหลดได้จาก App Store หรือ Play Store เครื่องสามารถเชื่อมต่อผ่าน Bluetooth เข้ากับคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์พกพา และยังรองรับการเชื่อมต่อ USB สำหรับคอมพิวเตอร์โดยเฉพาะ
โดยรวมแล้ว NELKO PL70e เป็นเครื่องปริ้นท์ความร้อนที่โดดเด่นทั้งด้านดีไซน์และประสิทธิภาพ ความเร็วในการพิมพ์สูง คุณภาพคมชัด และตั้งค่าง่าย หากจะให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นก็ควรมีถาดป้อนฉลากและรองรับ iMac ได้ด้วย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังถือว่าเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่า เหมาะสำหรับร้านค้าหรือผู้ค้าปลีกที่ต้องการความยืดหยุ่นในการพิมพ์โดยไม่ต้องลงทุนกับรุ่นราคาสูงกว่า
ข้อดี:
- การพิมพ์ที่รวดเร็วและมีคุณภาพสูง
- ทำงานกับระบบปฏิบัติการหลักทั้งหมด
- รองรับทุกมาร์เก็ตเพลซ
ข้อเสีย:
- ไม่มีการเชื่อมต่อ WiFi
- ต้องการแอป Shipping Printer Pro เพื่อเชื่อมต่อ
ราคา: ประมาณ 3,600 บาท
7. Polono PL60
ดีที่สุดสำหรับธุรกิจที่มองหาเครื่องปริ้นท์ความร้อนรุ่นเริ่มต้น ราคาประหยัด
สเปก:
- ขนาด: 6.18 x 6.18 x 10.91 นิ้ว
- น้ำหนัก: 4.95 ปอนด์ (2.24 กิโลกรัม)
- วิธีการพิมพ์: ความร้อนโดยตรง
- ขนาดฉลาก: 1.57” ถึง 4.65”
- ความละเอียดการพิมพ์: 203dpi
- การเชื่อมต่อ: USB
- ระบบที่รองรับ: Windows, Mac
Polono PL60 เป็นตัวเลือกที่ประหยัด แต่มีน้ำหนักมากเกือบ 5 ปอนด์ ดังนั้นจึงไม่เหมาะสำหรับการพกพา
การตั้งค่า PL60 ทำได้รวดเร็วและไม่ซับซ้อน มาพร้อมฟีเจอร์อัจฉริยะที่ช่วยปรับตำแหน่งฉลากให้อัตโนมัติและแม่นยำ รวมถึงฟังก์ชัน auto-feed อัจฉริยะ ที่ช่วยลดการสูญเสียฉลากและทำให้การจัดแนวแม่นยำยิ่งขึ้น เครื่องทำงานเงียบแต่รวดเร็ว สามารถพิมพ์ฉลากคุณภาพสูงได้ถึง 72 แผ่นต่อนาที ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและประหยัดเวลาได้อย่างมาก
เครื่องนี้รองรับฉลากกว้างตั้งแต่ 1.57 ถึง 4.65 นิ้ว และสามารถใช้งานร่วมกับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซและระบบขนส่งหลักทั้งหมด เช่น Shopify, eBay, DHL, USPS, FedEx, Amazon และ Etsy จึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ค้าปลีกหน้าใหม่ ที่ต้องการเครื่องปริ้นท์ฉลากสำหรับจัดส่งสินค้าที่เชื่อถือได้ โดยไม่ต้องลงทุนสูงตั้งแต่เริ่มต้น
ข้อดี:
- การพิมพ์ที่รวดเร็ว
- คุณภาพดี
- ติดตั้งและตั้งค่าได้อย่างรวดเร็ว
ข้อเสีย:
- ไม่ไร้สาย
- ต้องการไดรเวอร์เครื่องพิมพ์
ราคา: ประมาณ 2,640 บาท
8. MUNBYN RealWriter 403B
เครื่องปริ้นท์ความร้อนยี่ห้อไหนดี? พบหนึ่งในคำตอบดีๆ สำหรับร้านที่ต้องการเครื่องปริ้นท์ Bluetooth แบบพกพาได้
MUNBYN
สเปก:
- ขนาด: 7.32 x 3.58 x 3.62 นิ้ว
- น้ำหนัก: 1.5 ปอนด์ (0.68 กก.)
- ระบบพิมพ์: Direct Thermal
- ขนาดฉลาก: 1.57 - 4.3 นิ้ว
- ความละเอียด: 203dpi
- การเชื่อมต่อ: Bluetooth, USB
- ระบบที่รองรับ: Windows, Mac, iOS, Android, ChromeOS
MUNBYN RealWriter 403B เป็นเครื่องปริ้นท์ความร้อนที่ใช้งานง่าย เหมาะสำหรับเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก มาพร้อมการเชื่อมต่อทั้ง Bluetooth และ USB ช่วยให้คุณพิมพ์ฉลากได้จากสมาร์ตโฟน แท็บเล็ต หรือคอมพิวเตอร์ได้สะดวก
การตั้งค่าทำได้รวดเร็วและง่ายดาย รองรับการใช้งานกับแพลตฟอร์มหลักอย่าง FedEx UPS และ Shopify สำหรับการใช้งานผ่านมือถือ แอป MUNBYN Print มีคลังเทมเพลตขนาดใหญ่พร้อมองค์ประกอบตกแต่ง เช่น สติกเกอร์และฟอนต์ให้เลือกใช้
อีกจุดเด่นที่ทำให้ MUNBYN แตกต่างคือชิปอัจฉริยะในตัวเครื่อง ที่ช่วยปรับและจัดแนวฉลากให้อัตโนมัติ ทำให้ฉลากที่พิมพ์ออกมาดูเรียบร้อยและมืออาชีพทุกครั้ง เครื่องทำงานเงียบเพียงประมาณ 60 เดซิเบล และรองรับฉลากหลายขนาด
ด้วยน้ำหนักเบาและการใช้งานผ่านแอปมือถือ เครื่องนี้จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ขายที่ต้องพิมพ์ฉลากตามตลาดนัด งานอีเวนต์ หรือคลังสินค้าขนาดเล็ก
ข้อดี:
- พิมพ์แบบไร้สายผ่าน Bluetooth
- ความเร็วในการพิมพ์สูง (150 มม./วินาที)
- คุณภาพงานพิมพ์คมชัด
- ตั้งค่าและใช้งานง่าย
- รองรับอุปกรณ์และแพลตฟอร์มหลากหลาย
- แอปมือถือมีฟีเจอร์ให้เลือกใช้ครบครัน
ข้อเสีย:
- แอปมือถืออาจต้องใช้เวลาทำความเข้าใจในช่วงแรก
- ต้องใช้ที่วางฉลากแยกต่างหาก
ราคา: ประมาณ 2,805 บาท
เลือกเครื่องปริ้นท์ความร้อนยี่ห้อไหนดี? ดูวิธีง่ายๆ ได้ที่นี่
มีหลายปัจจัยที่ต้องพิจารณาเมื่อประเมินยี่ห้อเครื่องปริ้นท์ความร้อน มาดูตัวอย่างปัจจัยที่ควรพิจารณากันที่ด้านล่างนี้
คุณภาพและความละเอียดงานพิมพ์
เครื่องปริ้นท์ความร้อนที่ดีและเชื่อถือได้ควรเป็นยี่ห้อมีความละเอียดอย่างน้อย 203dpi เพื่อให้ได้ฉลากคุณภาพสูงและดูเป็นมืออาชีพ สำหรับผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ใช้วัสดุฉลากที่ทดสอบแล้วเรื่องคุณภาพงานพิมพ์ การยึดติด ความทนทานต่อสารเคมี และความทนทานของเครื่องพิมพ์
เลือกยี่ห้อที่เน้นความเร็วในการพิมพ์
หากความเร็วสำคัญสำหรับคุณ ควรเลือกเครื่องปริ้นท์ฉลากที่มีอัตราการพิมพ์ต่อหนึ่งนาทีสูง แต่ต้องจำไว้ว่าความเร็วที่แจ้งไว้เป็นภายใต้สภาพเหมาะสม ตัวแปรอื่น ๆ ที่อาจส่งผลต่อความเร็ว ได้แก่ อายุเครื่องพิมพ์ ประเภทฉลาก การพิมพ์สีหรือขาวดำ การตั้งค่าเครื่องพิมพ์ ขนาดภาพ และความละเอียดหรือคุณภาพงานพิมพ์
ขนาดฉลากที่เครื่องปร้ินท์รองรับ
เครื่องปริ้นท์ความร้อนส่วนใหญ่รองรับฉลากขนาด 4 x 6 นิ้ว ซึ่งเป็นขนาดมาตรฐานของแพลตฟอร์มจัดส่งและตลาดออนไลน์ อย่างไรก็ตาม เครื่องบางรุ่น เช่น Brother QL-1110NWB สามารถพิมพ์ฉลากขนาดกว้างได้ พิจารณาเลือกเครื่องที่รองรับขนาดฉลากตรงกับความต้องการของคุณ
การเชื่อมต่อสัญญาณและอุปกรณ์
เครื่องปริ้นท์ความร้อนส่วนใหญ่เชื่อมต่อผ่าน USB กับคอมพิวเตอร์ Windows หรือ Mac แต่ถ้าคุณใช้ Linux, Chromebook หรืออยากพิมพ์ฉลากจากมือถือ ให้เลือกเครื่องที่รองรับ Wi-Fi, Bluetooth, หรือพอร์ต Ethernet
นอกจากนี้ควรพิจารณาว่าเครื่องสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ POS ของคุณได้หรือไม่ เพื่อรวมการทำงานทั้งหมดไว้ในที่เดียว เช่น เครื่อง Brother QL สามารถเชื่อมกับ Shopify POS ได้
ความสะดวกในการใช้งาน
คุณไม่อยากเจอเครื่องปริ้นท์ฉลากที่ยากต่อการใช้งาน เลือกเครื่องที่ติดตั้งง่าย ตั้งค่าเร็ว ใช้งานสะดวก และแก้ไขปัญหาได้ง่าย พิจารณาการเชื่อมต่อ ความเร็วในการพิมพ์ การสิ้นเปลืองฉลาก และความง่ายของแอปเชื่อมต่อเครื่องพิมพ์โดยไม่ต้องฝึกอบรมมาก
ความทนทานของวัสดุ
ด้วยชิ้นส่วนเคลื่อนไหวน้อย เครื่องปริ้นท์ความร้อนจึงมีอายุการใช้งานยาวนาน หัวพิมพ์หลายรุ่นสามารถใช้งานได้หลายปี (โดยเฉลี่ย 10 ปี) โดยต้องการการบำรุงรักษาน้อย
สิ่งที่คุณต้องเปลี่ยนมีเพียงฉลาก คุณก็ไม่ต้องใช้ตลับหมึกหรือโทนเนอร์ราคาแพง ควรเลือกเครื่องที่มีโครงสร้างแข็งแรง ไม่แตกง่ายแม้ตกหรือใช้ในคลังสินค้าและสภาพแวดล้อมที่ใช้แรงงานหนัก
ค่าใช้จ่ายรวมตลอดอายุการใช้งาน
ราคาของเครื่องปริ้นท์ความร้อนแตกต่างกันไป โดยบางรุ่นสามารถหาซื้อได้ต่ำกว่า 3,300 บาท และบางรุ่นสูงถึง 16,500 บาท
นอกจากราคาของเครื่องแล้ว ยังต้องพิจารณาค่าใช้จ่ายระหว่างใช้งาน เช่น แถบความร้อ ตลับฉลาก และการจำกัดการซื้อวัสดุเฉพาะของแบรนด์
เมื่อคุณเจอเครื่องปริ้นท์ความร้อนที่ถูกใจ ลองเปรียบเทียบรุ่นที่คล้ายกันจากผู้ผลิตอื่น ๆ เพื่อดูความแตกต่างของค่าใช้จ่าย
💡พร้อมที่จะซื้อเครื่องปริ้นท์ความร้อนแล้วหรือยัง? ซื้อหนึ่งในตัวเลือกที่ดีที่สุดของเราได้ที่ Shopify Hardware Store
ฉลากพิมพ์ด้วยเครื่องปริ้นท์ความร้อนดีกว่าการเขียนด้วยปากกา Sharpie
เครื่องปริ้นท์ความร้อนที่เชื่อถือได้ใช้งานง่าย ราคาย่อมเยา และสร้างฉลากที่ชัดเจน ดูเป็นมืออาชีพ ความเป็นมืออาชีพและความน่าเชื่อถือนี้สำคัญมาก โดยเฉพาะเวลาส่งพัสดุถึงลูกค้าหรือจัดระเบียบสต็อก
ท้ายที่สุด เครื่องที่เหมาะกับธุรกิจของคุณขึ้นอยู่กับความต้องการและลำดับความสำคัญเฉพาะของคุณ พิจารณาข้อดีข้อเสียของแต่ละรุ่นเทียบกับปริมาณงาน วิธีการทำงาน และแพลตฟอร์มที่คุณใช้
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับยี่ห้อเครื่องปริ้นท์ความร้อน
การลงทุนซื้อเครื่องปริ้นท์ความร้อน คุ้มค่าหรือไม่
แน่นอน เครื่องปริ้นท์ความร้อนมีความรวดเร็ว สร้างฉลากคุณภาพสูง ใช้งานได้ถูกกว่าเนื่องจากเทคโนโลยีที่ไม่ใช้หมึก ง่ายต่อการบำรุงรักษา และทนทาน ทำให้เหมาะสำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซทุกประเภท
เครื่องปริ้นท์ความร้อนแบบถ่ายโอนยี่ห้อไหนดีที่สุด
Zebra ZD421 เป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับเครื่องปริ้นท์ความร้อนแบบ thermal transfer มันมีน้ำหนักเบา ทนทาน และเชื่อถือได้ มาพร้อมฟีเจอร์อย่างตัวตัดฉลากในตัวและความยืดหยุ่นในการจัดการฉลาก นอกจากนี้ยังพิมพ์ได้รวดเร็ว คุณภาพสูง รองรับฉลากหลายประเภท และรองรับหลายภาษาและฟอนต์สำหรับการใช้งานฉลากหลากหลาย
ต้องซื้อหมึกสำหรับเครื่องปริ้นท์ความร้อนหรือไม่
ไม่จำเป็น เครื่องปริ้นท์ความร้อนไม่ต้องใช้หมึกหรือโทนเนอร์ แต่ใช้ความร้อนโดยตรงบนฉลากเคลือบพิเศษ หรือผ่านริบบอนที่ถ่ายโอนหมึกลงบนพื้นผิวฉลาก
เครื่องปริ้นท์ความร้อนมีอายุการใช้งานเท่าไหร่
อายุการใช้งานของเครื่องปริ้นท์ความร้อนอยู่ระหว่าง 2 - 35 ปี ขึ้นอยู่กับวิธีการพิมพ์แบบความร้อนโดยตรง สามารถอยู่ได้ 7–25 ปี ส่วนแบบถ่ายโอนความร้อนอยู่ได้ 2 - 35 ปี การทำความสะอาดเป็นประจำ ปรับความร้อนให้เหมาะสม และใช้วัสดุที่ตรงตามสเปกของเครื่อง สามารถยืดอายุการใช้งานออกไปได้อีกหลายปี
จะใช้ฉลากยี่ห้ออะไรก็ได้กับเครื่องปริ้นท์ความร้อนได้มั้ย
เครื่องปริ้นท์ความร้อนแบบความร้อนโดยตรงและถ่ายโอนความร้อนส่วนใหญ่สามารถใช้ฉลากของยี่ห้ออื่นได้ ตราบใดที่ขนาดฉลาก เส้นผ่านศูนย์กลางแกน และวัสดุตรงตามสเปกของเครื่อง
แต่บางรุ่น เช่น DYMO และ Zebra ZSB ใช้ตลับฉลากเฉพาะหรือชิปตรวจจับฉลาก การใช้ฉลากยี่ห้ออื่นอาจทำให้เกิดปัญหาระบบที่รองรับ หรือทำให้ประกันเครื่องเสียสิทธิ์
ความแตกต่างระหว่างเครื่องปริ้นท์ฉลากจัดส่ง กับเครื่องปริ้นท์ฉลากบาร์โค้ดคืออะไร
“เครื่องปริ้นท์ฉลากจัดส่ง” มักหมายถึงเครื่องปริ้นท์ความร้อนแบบเดสก์ท็อป ที่ออกแบบมาเพื่อพิมพ์ฉลากส่งของขนาดมาตรฐาน 4 × 6 นิ้ว จากแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ
“เครื่องปริ้นท์ฉลากบาร์โค้ด” มักเป็นเครื่องระดับอุตสาหกรรมหรือระดับกลาง สำหรับสร้างบาร์โค้ดขนาดเล็กและแม่นยำ สำหรับสินค้าคงคลัง ชั้นวาง หรือแท็กทรัพย์สิน รองรับความละเอียดสูงกว่าและวัสดุริบบอนที่ทนทานมากกว่า


