เมื่อผู้บริโภคเข้ามาที่ร้านค้าออนไลน์ ก็จะได้เจอกับอินเทอร์เฟซที่สวยงาม รูปภาพความละเอียดสูง และคำอธิบายสินค้าอย่างละเอียดเหมือนการแสดงโชว์คอนเสิร์ตที่ซ้อมมาอย่างดี แต่เบื้องหลังนั้นมีระบบจัดการเนื้อหาสำหรับอีคอมเมิร์ซที่จะบริหารจัดการธุรกรรม ติดตามสินค้าคงคลัง และปรับแต่งประสบการณ์การช็อปปิ้งให้เหมาะกับการโต้ตอบของผู้ใช้แต่ละคน
CMS e-commerce เป็นรากฐานสำคัญของร้านค้าปลีกออนไลน์ โดยผสานรวมความซับซ้อนของการจัดการระบบหลังบ้านเข้ากับความเรียบง่ายของความสวยงามในฉากหน้า บทความนี้จะพาคุณเรียนรู้ฟีเจอร์ที่ทำให้แพลตฟอร์ม CMS e-commerce ที่ดีที่สุดโดดเด่น และแนะนำตัวเลือกในการสร้างร้านค้าออนไลน์ที่ประสบความสำเร็จ
CMS e-commerce คืออะไร?
CMS อีคอมเมิร์ซหรือระบบจัดการเนื้อหา เป็นแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์ที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างและจัดการร้านค้าออนไลน์ได้ ซึ่งทำหน้าที่เป็นพื้นฐานของเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ โดยรวมการจัดการสินค้า การขาย และการโต้ตอบกับลูกค้าไว้ในแพลตฟอร์มเดียวที่ผู้ใช้หลายคนสามารถเข้าถึงได้
CMS e-commerce มีอยู่ 2 ประเภทหลัก ๆ คือ การให้บริการซอฟต์แวร์ (SaaS) และโอเพนซอร์ส
- SaaS - บริการเหล่านี้จะเรียกเก็บค่าบริการรายเดือนเพื่อใช้ CMS ที่โฮสต์ในระบบคลาวด์ ซึ่งทำให้ใช้งานง่าย ปลอดภัย และมีการอัปเดตอย่างต่อเนื่อง
- โอเพนซอร์ส - แพลตฟอร์มอื่นๆ ให้ดาวน์โหลดและปรับแต่งได้ฟรี ทำให้ผู้ใช้ควบคุมฟังก์ชันการทำงานของเว็บไซต์ได้เต็มที่และสามารถปรับให้เข้ากับความต้องการได้ ซึ่งมักจะต้องอาศัยความเชี่ยวชาญทางเทคนิคมากกว่า
คุณสมบัติของ CMS อีคอมเมิร์ซ
ฟีเจอร์แต่ละอย่างของโซลูชัน CMS e-commerce จะช่วยรองรับกิจกรรมประจำวันของร้านค้าออนไลน์ และนี่คือคุณสมบัติที่ควรมองหา
ใช้งานง่าย
ความสามารถในการเพิ่มสินค้า อัปเดตคลังสินค้า ประมวลผลคำสั่งซื้อ และปรับแต่งการออกแบบร้านค้าออนไลน์อย่างง่ายดายทำให้แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซโดดเด่น รวมถึงแดชบอร์ดที่ใช้ง่าย การตั้งค่าที่ชัดเจน และศูนย์ช่วยเหลือที่มีคุณภาพสูงช่วยลดความต้องการในการสนับสนุนทางเทคนิค เมื่อใช้คุณสมบัติเหล่านี้ได้อย่างเป็นธรรมชาติและตรงกับจุดประสงค์ จะช่วยให้การทำงานในแต่ละวันเป็นไปอย่างราบรื่นและช่วยให้เจ้าของร้านสามารถโฟกัสที่การเติบโตของธุรกิจได้
รองรับการผสานการทำงาน
แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่ดีจะมีปลั๊กอินและโมดูลที่หลากหลายเพื่อขยายความสามารถของร้านค้า การสนับสนุนการผสานการทำงานใน CMS e-commerce ช่วยให้ร้านค้าออนไลน์เชื่อมต่อกับเครื่องมือและระบบอื่นๆ เช่น เกตเวย์การชำระเงิน, ซอฟต์แวร์ CRM, และซอฟต์แวร์จัดการคลังสินค้า การผสานการทำงานเหล่านี้ช่วยให้การทำงานของอีคอมเมิร์ซเป็นไปอย่างราบรื่นและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน
รองรับ SEO
CMS e-commerce ที่มีเครื่องมือ SEO ในตัวจะช่วยในการปรับแต่งคำอธิบายสินค้า รูปภาพ และเนื้อหาอื่นๆ ทำให้การค้นหาและจัดทำดัชนีหน้าเว็บไซต์ทำได้ง่ายขึ้น คุณสมบัติอย่างเช่นโครงสร้าง URL ที่เรียบง่าย, แผนผังเว็บไซต์ และแท็กเมตานั้นสำคัญต่อการที่ลูกค้าเป้าหมายจะค้นหาร้านค้าออนไลน์เจอ แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่รองรับ SEO สามารถเพิ่มการมองเห็นในการค้นหาแบบออร์แกนิกและช่วยให้ลูกค้าเป้าหมายได้พบกับสินค้าของคุณ
Polysleep คือตัวอย่างบริษัทผลิตที่นอนกล่องจากแคนาดาที่ตั้งอยู่ในมอนทรีออล ใช้ Shopify CMS สำหรับกิจกรรมอีคอมเมิร์ซและเป็นศูนย์กลางการตลาดเนื้อหา กลยุทธ์เนื้อหาที่รวมถึงการให้ทรัพยากรที่มีคุณค่าในภาษาฝรั่งเศสและอังกฤษได้เพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์แบบออร์แกนิกได้อย่างมีนัยสำคัญ
Jeremiah Curvers ผู้ก่อตั้งและ CEO ของ Polysleep กล่าวว่า “ถ้าคุณใช้ Shopify การจัดการหลายภาษาจะทำได้ง่ายขึ้นเยอะ” โดยยังได้เปรียบเทียบกลยุทธ์เนื้อหาที่มีคุณภาพกับการลงทุนระยะยาวที่ชาญฉลาดเอาไว้ว่า “อย่าคาดหวังผลตอบแทนระยะสั้น ถ้าคุณเริ่มลงทุนตั้งแต่แรกในกลยุทธ์เนื้อหาที่ดี คุณจะพบว่าคุณมีโอกาสที่จะได้เก็บข้อมูลจากลูกค้าและข้อมูลที่ไม่มีที่มาที่ดีกว่า”
การช่วยเหลือลูกค้า
ปัจจัยที่เป็นตัวตัดสินสำหรับธุรกิจออนไลน์หลายแห่งเมื่อเลือกแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซคือคุณภาพของการบริการลูกค้า การเข้าถึงการช่วยเหลือลูกค้าได้อย่างความรู้และตอบสนองได้ช่วยให้ร้านค้าอีคอมเมิร์ซสามารถแก้ปัญหาทางเทคนิคได้ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว การช่วยเหลือนี้สำคัญต่อการช่วยให้ธุรกิจใช้ฟีเจอร์ของแพลตฟอร์มได้อย่างเต็มที่
ความสามารถในการโฮสต์
หนึ่งในคำถามแรกๆ ที่คุณจะต้องเจอเมื่อสร้างร้านค้าอีคอมเมิร์ซคือการเลือกว่าจะโฮสต์ด้วยตนเองหรือเลือกโฮสต์ที่มีการจัดการสำหรับ CMS ของคุณ การโฮสต์ด้วยตนเองเหมือนกับการเป็นเจ้าของและดูแลบ้าน ในขณะที่การโฮสต์ที่มีการจัดการก็เหมือนกับการเช่าซึ่งเจ้าของบ้านจะดูแลการซ่อมแซมและบำรุงรักษา
การโฮสต์ด้วยตนเองจะเกี่ยวข้องกับการใช้โครงสร้างพื้นฐานของคุณเองหรือเซิร์ฟเวอร์ที่เช่าเพื่อโฮสต์เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซของคุณ ซึ่งคุณสามารถควบคุมฟังก์ชันการทำงานของเว็บไซต์ของคุณได้หมด ตั้งแต่การเบือกธีม ไปจนถึงเกตเวย์การชำระเงิน ซึ่งต้องอาศัยทักษะทางเทคนิคในการบริหารจัดการระดับสูง
การโฮสต์ที่มีการจัดการหมายความว่าผู้ให้บริการจะดูแลสภาพแวดล้อมการโฮสต์ รวมถึงความปลอดภัยและการบำรุงรักษาเซิร์ฟเวอร์ ทำให้การจัดการด้านเทคนิคง่ายขึ้น แต่จะมีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นและปรับแต่งไม่ได้มาก
แพลตฟอร์ม CMS e-commerce ที่ดีที่สุด
ซัพพลายเออร์ซอฟต์แวร์อีคอมเมิร์ซหลายรายกำลังแข่งขันกันเพื่อดึงดูดความสนใจจากลูกค้า ทำให้การจัดเรียงประโยชน์และฟีเจอร์ของ CMS e-commerce ที่แตกต่างกันนั้นเป็นเรื่องยาก นี่คือตัวอย่างแพลตฟอร์ม CMS อีคอมเมิร์ซที่ดีที่สุดบางส่วน
1. Shopify
Shopify เป็นโซลูชัน CMS e-commerce แบบครบวงจรที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้ค้าสามารถสร้างและจัดการร้านค้าออนไลน์ได้อย่างง่ายดาย ในฐานะแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ SaaS ที่โฮสต์ในคลาวด์ ทำให้ไม่ต้องคอยบำรุงรักษาเซิร์ฟเวอร์และอัปเดต ทำให้เจ้าของธุรกิจสามารถโฟกัสที่การขายและการเติบโตได้ โดย Shopify เหมาะสำหรับธุรกิจหลากหลายประเภท โดยดึงดูดร้านค้าขนาดเล็กด้วยความง่ายในการใช้งาน ในขณะที่ยังให้บริการผู้ค้ารายใหญ่ด้วยความสามารถในการขยายธุรกิจ
ฟีเจอร์หลักๆ ประกอบด้วย
- ความสามารถในการค้าแบบหลายช่องทาง - รับประกันประสบการณ์ลูกค้าที่สม่ำเสมอทุกที่ด้วยการผสานการทำงานที่ไร้รอยต่อสำหรับการขายผ่านหลายช่องทาง เช่น เดสก์ท็อป มือถือ โซเชียลมีเดีย และร้านค้าจริง
- โครงสร้างพื้นฐานที่สามารถขยายได้ - รองรับการเข้าชมและการขายที่มีปริมาณสูง เหมาะสำหรับช่วงเวลาช็อปปิ้งที่มีความต้องการสูงและการเติบโตของธุรกิจโดยไม่ลดทอนประสิทธิภาพ
- การปรับแต่งขั้นสูงและการเข้าถึง API - ผู้ค้าสามารถปรับแต่งหน้าร้านและระบบหลังบ้านด้วยการรองรับ API ที่กว้างขวางและตัวเลือกการปรับแต่งเพื่อตอบสนองความต้องการทางธุรกิจที่เฉพาะเจาะจง
ราคา: Shopify มีแผน Basic ($29/เดือน หรือประมาณ 954 บาท), Shopify ($79/เดือน หรือประมาณ 2,597 บาท) และ Advanced ($299/เดือน หรือประมาณ 9,827 บาท) โดยจะเรียกเก็บค่าบริการเป็นรายปี ธุรกิจสามารถทดลองใช้ Shopify ได้ฟรีและจ่ายเพียง $1/เดือน หรือประมาณ 33 บาทในเดือนแรก
2. BigCommerce
BigCommerce เป็นแพลตฟอร์ม CMS อีคอมเมิร์ซประสิทธิภาพสูงซึ่งมีเครื่องมือที่ครอบคลุมสำหรับธุรกิจในการสร้าง ดำเนินการ และขยายเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ มีฟีเจอร์ระดับองค์กร, API ที่เปิดกว้าง และความยืดหยุ่น ซึ่งทำให้เป็นโซลูชันที่เหมาะสำหรับธุรกิจที่มุ่งเน้นการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดย BigCommerce เหมาะสำหรับผู้ค้าปลีกออนไลน์ที่เปิดร้านขายอยู่แล้วที่ต้องการโซลูชันที่พร้อมใช้งานและมีพื้นที่สำหรับการขยายตัว
ฟีเจอร์หลักๆ ประกอบด้วย
- ความสามารถด้าน SEO - ใช้ฟีเจอร์ SEO ที่มีในตัวซึ่งช่วยให้เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซติดอันดับสูงขึ้นในผลการค้นหาของเครื่องมือค้นหา
- การขายหลายช่องทาง - ผู้ค้าสามารถขายผ่าน Facebook, Instagram และ Amazon โดยการผสานรวมร้านค้า BigCommerce ของตนเข้ากับช่องทางเหล่านี้โดยตรง
- โครงสร้างพื้นฐานที่สามารถขยายได้ - แพลตฟอร์มสามารถรองรับปริมาณการเข้าชมและธุรกรรมได้ในระดับสูง เหมาะสำหรับธุรกิจออนไลน์ระดับองค์กร
ราคา: BigCommerce มีแผน Standard ($9/เดือน หรือประมาณ 296 บาท), Plus ($79/เดือน หรือประมาณ 2,597 บาท) และ Pro ($299/เดือน หรือประมาณ 9,827 บาท) โดยเรียกเก็บค่าบริการรายปี สามารถติดต่อฝ่ายขายเพื่อขอราคา Enterprise ได้
3. WooCommerce
WooCommerce เป็นปลั๊กอินการจัดการเนื้อหาสำหรับอีคอมเมิร์ซที่ยืดหยุ่นซึ่งรวมเข้ากับ CMS e-commerce บนเว็บไซต์ WordPress โดยช่วยให้ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนเว็บไซต์ WordPress ให้เป็นร้านค้าอีคอมเมิร์ซได้ หากคุณมีบล็อก WordPress อยู่แล้วและต้องการขายผลิตภัณฑ์บนเว็บไซต์นี้ นี่อาจเป็นปลั๊กอินที่เหมาะสำหรับคุณ
การเป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซแบบโอเพนซอร์สทำให้ WooCommerce สามารถปรับแต่งและควบคุมได้ เป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับธุรกิจขนาดเล็กถึงขนาดกลางที่ต้องการมีตัวตนทางการค้าทางออนไลน์ที่ปรับแต่งได้เอง โดย WooCommerce เหมาะสำหรับผู้ใช้ WordPress ที่ต้องการโซลูชันอีคอมเมิร์ซที่สามารถขยายและปรับเปลี่ยนได้พร้อมชุมชนที่แข็งแกร่ง ฟีเจอร์หลักๆ ประกอบด้วย
- การผสานการทำงานเข้ากับ WordPress - ใช้ส่วนติดต่อ WordPress ที่คุ้นเคยในการจัดการเนื้อหาอีคอมเมิร์ซ
- ปรับแต่งและขยายได้ - ขยายฟังก์ชันการทำงานของร้านค้าอีคอมเมิร์ซของคุณด้วยปลั๊กอินและธีมหลายร้อยรายการ
- การวิเคราะห์แบบรอบด้าน - ดูข้อมูลการวิเคราะห์และรายงานที่ละเอียดซึ่งช่วยให้คุณติดตามยอดขาย การมีส่วนร่วมของลูกค้า และตัวชี้วัดประสิทธิภาพหลัก (KPI) อื่นๆ ได้ในแดชบอร์ด
ราคา: WooCommerce เป็นซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สฟรี แต่จะมีค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการโฮสต์ การลงทะเบียนโดเมน ธีม เกตเวย์การชำระเงิน และอื่นๆ
4. Drupal
Drupal เป็นเฟรมเวิร์กการจัดการเนื้อหาแบบโอเพนซอร์สที่ได้รับการยอมรับจากนักพัฒนาสำหรับการขับเคลื่อนเว็บไซต์ที่ซับซ้อนและมีการเข้าชมสูงในอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซ เป็นที่รู้จักในด้านประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และความยืดหยุ่น ทำให้นักพัฒนาสามารถสร้างแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่ปรับแต่งได้ตามความต้องการเฉพาะของธุรกิจ โดย Drupal มุ่งเป้าไปที่นักพัฒนาและเจ้าของธุรกิจที่มีความเชี่ยวชาญทางเทคนิค
ฟีเจอร์หลักๆ ประกอบด้วย
- การจัดการเนื้อหาขั้นสูง - Drupal โดดเด่นในการจัดการสถาปัตยกรรมประเภทเนื้อหาที่หลากหลาย
- ความสามารถในการขยายและความปลอดภัยสูง - แพลตฟอร์มถูกออกแบบมาเพื่อขยายตามการเติบโตของธุรกิจในขณะที่รักษามาตรฐานความปลอดภัยระดับสูง
- การปรับแต่งที่กว้างขวาง - ด้วยโมดูลและธีมที่หลากหลาย รวมถึงความสามารถในการเขียนโมดูลที่กำหนดเอง ธุรกิจสามารถปรับแต่งการแสดงผลทางออนไลน์ได้อย่างเต็มที่
ราคา: Drupal เป็นซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สฟรีแต่จะมีค่าใช้จ่ายสำหรับการโฮสต์ การลงทะเบียนโดเมน ธีม เกตเวย์การชำระเงิน และอื่นๆ
5. Adobe Commerce
Adobe Commerce ชื่อเดิมคือ Magento เป็นแพลตฟอร์ม CMS e-commerce ที่ออกแบบมาเพื่ออำนวยความสะดวกในการสร้างประสบการณ์การช็อปปิ้งที่ปรับแต่งได้สำหรับทั้ง B2B (ธุรกิจต่อธุรกิจ) และ B2C (ธุรกิจต่อผู้บริโภค) โดยเน้นที่การขยายตัวและการปรับแต่ง โดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) สำหรับเนื้อหาและโปรโมชั่นที่ตรงเป้าหมาย Adobe Commerce ถูกออกแบบมาเพื่อบริษัทขนาดใหญ่ระดับองค์กรที่มองหาแพลตฟอร์มที่สามารถปรับแต่งได้ในระดับสูง
ฟีเจอร์หลักๆ ประกอบด้วย
- ประสบการณ์ที่ปรับแต่งด้วย AI - ปรับปรุงเส้นทางของลูกค้าด้วยการค้นหาเว็บไซต์ที่ปรับแต่งด้วย AI คำแนะนำผลิตภัณฑ์ และการเรียกดู
- การจัดการสินค้าคงคลังที่มีประสิทธิภาพ - แพลตฟอร์มมีความสามารถในการจัดการสินค้าคงคลังที่รองรับแคตตาล็อก B2C และ B2B และอำนวยความสะดวกในการขายหลายช่องทางโดยให้ลูกค้าสามารถรับคำสั่งซื้อออนไลน์ในร้านได้
- การวิเคราะห์และรายงานขั้นสูง - เข้าถึงข้อมูลเชิงลึกที่ละเอียดด้วย Adobe Analytics และ Adobe’s Real-Time Customer Data Platform ซึ่งมีฟีเจอร์อย่างการคาดการณ์ลูกค้าและการให้คะแนนบัญชี
ราคา: Adobe Commerce มีแผน Adobe Commerce Pro และ Managed Services กรอกแบบฟอร์มบนเว็บไซต์เพื่อขอข้อมูลราคา
6. OpenCart
OpenCart เป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซแบบโอเพนซอร์สสำหรับธุรกิจขนาดเล็กถึงขนาดกลางที่ต้องการสร้างหรือขยายการแสดงผลทางออนไลน์ เป็นที่รู้จักในด้านอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่ายและความเรียบง่าย โดย OpenCart มีวิธีการที่ตรงไปตรงมาสำหรับผู้ค้าในการสร้างร้านค้าอีคอมเมิร์ซของตนเอง โดยมีการดาวน์โหลดและอัปเดตฟรี เหมาะสำหรับผู้ที่มีประสบการณ์ด้านการพัฒนาเว็บที่มองหาโซลูชันอีคอมเมิร์ซแบบโอเพนซอร์สที่ติดตั้งง่าย ธุรกิจสามารถเลือกโฮสต์ด้วยตนเองหรือโฮสต์ที่จัดการผ่าน OpenCart ได้ ฟีเจอร์หลักๆ ประกอบด้วย
- แดชบอร์ดที่ใช้งานง่าย - OpenCart มีอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่ายซึ่งทำให้การจัดการเว็บไซต์สามารถทำได้ด้วยผู้ใช้ในทุกระดับทักษะ
- ส่วนขยายและโมดูลที่หลากหลาย - ตลาดที่ครอบคลุมของปลั๊กอินและธีมช่วยให้คุณสามารถเพิ่มความสามารถและการออกแบบร้านค้าได้อย่างง่ายดาย
- การสนับสนุนหลายภาษาและหลายสกุลเงิน - แพลตฟอร์มพร้อมสำหรับการขายระหว่างประเทศ รองรับหลายภาษาและสกุลเงินตั้งแต่เริ่มต้น
- ความยืดหยุ่นในการโฮสต์ - OpenCart อนุญาตให้โฮสต์ด้วยตนเอง สามารถควบคุมได้เต็มรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการตั้งค่าร้านค้า หรือเลือกโซลูชันที่จัดการผ่าน Amazon
ราคา: การโฮสต์ด้วยตนเอง: OpenCart เป็นซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สฟรี แต่จะมีค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการโฮสต์ การลงทะเบียนโดเมน ธีม เกตเวย์การชำระเงิน และอื่นๆ การโฮสต์ที่มีการจัดการ: OpenCart Cloud มีแผน Bronze ($59/เดือน หรือประมาณ 1,940บาท), Silver ($99/เดือน หรือประมาณ 3,255 บาท), และ Gold ($199/เดือน หรือประมาณ 6,542 บาท) และยังมีการทดลองใช้งานฟรีได้ 7 วัน
7. Wix
Wix เป็นผู้สร้างเว็บไซต์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายซึ่งมีอินเทอร์เฟซแบบลากและวางที่ใช้งานง่าย ทำให้เป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับบุคคลและธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการสร้างร้านค้าอีคอมเมิร์ซของตนเอง เป็นที่รู้จักในด้านเทมเพลตการออกแบบที่หลากหลาย Wix ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างร้านค้าออนไลน์ที่น่าสนใจโดยไม่ต้องมีความรู้ด้านเทคนิคหรือการออกแบบในเชิงลึก เหมาะสำหรับผู้ประกอบการและเจ้าของธุรกิจขนาดเล็กที่ให้ความสำคัญกับความง่ายในการใช้งานและความยืดหยุ่นในการออกแบบโดยไม่ต้องมีความรู้ด้านวิศวกรรม
ฟีเจอร์หลักๆ ประกอบด้วย
- โปรแกรมสร้างเว็บไซต์ที่ใช้งานง่าย - ฟังก์ชันการลากและวางของ Wix ช่วยให้ผู้ใช้สามารถออกแบบร้านค้าอีคอมเมิร์ซได้อย่างง่ายดาย
- การเลือกเทมเพลตที่หลากหลาย - เทมเพลตที่ออกแบบมาอย่างมืออาชีพหลายแบบช่วยให้ผู้ใช้เริ่มต้นสร้างหน้าร้านออนไลน์ที่น่าสนใจได้
- ฟีเจอร์อีคอมเมิร์ซในตัว - Wix มีเครื่องมือในตัวสำหรับการจัดการสินค้าคงคลัง การประมวลผลการชำระเงิน และการจัดส่ง
ราคา: Wix มีแผน Light ($16/เดือน หรือประมาณ 526 บาท), Core ($27/เดือน หรือประมาณ 888 บาท), Business ($32/เดือน หรือประมาณ 1,052 บาท), และ Business Elite ($159/เดือน หรือประมาณ 5,227 บาท) แผน Enterprise มีให้สำหรับธุรกิจที่มีราคาแบบกำหนดเอง รับประกันคืนเงินภายใน 14 วันสำหรับธุรกิจ
8. HubSpot
HubSpot เป็นแพลตฟอร์มการตลาดแบบดึงดูด, การขาย และบริการที่มีความสามารถ โดย CMS e-commerce ของ HubSpot จะผสานรวมเข้ากับโซลูชันอีคอมเมิร์ซต่างๆ เช่น Shopify, Wix และ WooCommerce ช่วยให้เจ้าของร้านสามารถระบุและดำเนินการตามรูปแบบการซื้อของลูกค้าได้ดีขึ้นด้วยการตลาดที่ตรงเป้าหมาย เหมาะสำหรับธุรกิจที่เน้นการตลาดแบบดึงดูดและการจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า โดยต้องการรวมกลยุทธ์เหล่านี้เข้ากับความพยายามด้านอีคอมเมิร์ซ
ฟีเจอร์หลักๆ ประกอบด้วย
- CMS ที่ขับเคลื่อนด้วย CRM - CMS ของ HubSpot ผสานรวมเข้ากับระบบจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า (CRM) ช่วยให้ประสบการณ์ลูกค้ามีความเป็นส่วนตัวตามข้อมูลเรียลไทม์ในทั้งเว็บไซต์
- การตลาดอัตโนมัติ - แพลตฟอร์มมีเครื่องมือการตลาดอัตโนมัติ รวมถึงแคมเปญอีเมลที่ตรงเวลา, แคมเปญการตลาด SMS, ข้อความ และการตลาดในผลิตภัณฑ์ ซึ่งช่วยในการดูแลลูกค้าในเส้นทางของลูกค้า
- ศูนย์ขายและบริการ - นอกเหนือจาก CMS แล้ว ศูนย์ขายและบริการของ HubSpot ยังมีเครื่องมือจัดการกระบวนการของลูกค้าตั้งแต่ต้นจนจบ ตั้งแต่การติดต่อครั้งแรกไปจนถึงการสนับสนุนและการรักษาลูกค้าอย่างต่อเนื่อง
ราคา: HubSpot CMS มีแผน Free, Starter ($23/เดือน หรือประมาณ 757 บาท), Professional ($360/เดือน หรือประมาณ 11,834 บาท), และ Enterprise ($1,200/เดือน หรือประมาณ 39,448 บาท)
9. Squarespace
Squarespace เป็นผู้สร้างเว็บไซต์ที่มีชื่อเสียงในด้านเทมเพลตที่สวยงามและอินเทอร์เฟซการออกแบบที่ใช้งานง่ายซึ่งตอบสนองต่อผู้ประกอบการ นักสร้างสรรค์ และเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก ด้วยความสามารถด้านอีคอมเมิร์ซที่รวมอยู่ ทำให้มีโซลูชันแบบครบวงจรสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการสร้างเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซที่มีสไตล์โดยไม่ต้องมีความรู้ทางเทคนิคมากนัก
ฟีเจอร์หลักๆ ประกอบด้วย
- เทมเพลตการออกแบบ - เลือกจากเทมเพลตคุณภาพสูงและปรับแต่งได้ซึ่งเหมาะสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่และปรับให้เข้ากับอุตสาหกรรมต่างๆ
- แพลตฟอร์มแบบครบวงจร - รวมการสร้างเว็บไซต์ การจัดการเนื้อหา และเครื่องมืออีคอมเมิร์ซ ทำให้ผู้ใช้สามารถจัดการร้านค้าออนไลน์และบล็อกได้จากอินเทอร์เฟซเดียว
- เครื่องมืออีคอมเมิร์ซในตัว - Squarespace มีฟีเจอร์อีคอมเมิร์ซที่ผสานรวมอยู่ เช่น การจัดการสินค้าคงคลัง การชำระเงินที่ปลอดภัย และผลิตภัณฑ์ไม่จำกัด เพื่อสนับสนุนธุรกิจเมื่อมีการเติบโต
ราคา: Squarespace มีแผน Business ($23/เดือน หรือประมาณ 757 บาท), Commerce Basic ($27/เดือน หรือประมาณ 888 บาท), และ Commerce Advanced ($49/เดือน หรือประมาณ 1,611 บาท) โดยเรียกเก็บค่าบริการรายปี และยังมีให้ทดลองใช้งานฟรี 14 วันสำหรับทุกแผน
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ CMS e-commerce
Shopify ถือว่าเป็น CMS e-commerce หรือไม่?
ใช่ Shopify ถือว่าเป็น CMS ที่ออกแบบมาสำหรับเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซโดยเฉพาะ
CMS แพลตฟอร์มไหนเหมาะที่สุดสำหรับอีคอมเมิร์ซ
Shopify และ Wix เป็น CMS ที่ง่ายที่สุดสำหรับการตั้งค่าและจัดการเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ
ข้อดีของการใช้ e-commerce CMS คืออะไร
อีคอมเมิร์ซ CMS ช่วยให้จัดการสินค้าและคอนเทนต์ได้ในที่เดียว มีเครื่องมือขายและการตลาดในตัว และสามารถสร้างประสบการณ์ช้อปปิ้งที่ปรับแต่งได้ตามลูกค้าแต่ละคน
CMS สำหรับ e-commerce คืออะไร
CMS สำหรับอีคอมเมิร์ซคือระบบสำคัญในเทคโนโลยีของร้านค้าออนไลน์ ที่ช่วยจัดการคอนเทนต์ดิจิทัลทั้งหมดของเว็บไซต์ ตัวอย่างเช่น Shopify ซึ่งเป็น CMS แบบครบวงจรสำหรับอีคอมเมิร์ซ


