ผู้ค้าปลีกในปัจจุบันในยุคปัจจุบันกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในการเข้าใจและเข้าถึงลูกค้า ในยุคที่คุกกี้ของบุคคลที่สามกำลังหายไป และข้อจำกัดด้านความเป็นส่วนตัวของเบราว์เซอร์มีความเข้มงวดมากขึ้น พวกเขาจึงต้องเผชิญกับความท้าทายในการหาวิธีใหม่ๆ ที่จะเข้าถึงข้อมูลลูกค้าได้โดยตรงและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ธุรกิจที่มีวิสัยทัศน์ในอนาคตกำลังหันหลังให้กับวิธีการติดตามข้อมูลแบบเดิมๆ และหันมาสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นผ่านข้อมูลจากลูกค้าโดยตรง (First-Party Data) ผลลัพธ์จากการใช้ระบบที่เชื่อมโยงข้อมูลลูกค้าผ่านทุกช่องทางสัมผัสแสดงให้เห็นชัดเจนว่า: พ่อค้าแม่ค้าที่ใช้ระบบแบบครบวงจรสามารถเพิ่มรายได้เฉลี่ยได้ถึง 9%
ต่อไปนี้ คุณจะได้เรียนรู้วิธีการเก็บข้อมูลลูกค้าและนำไปใช้ในการดำเนินธุรกิจค้าปลีกของคุณด้วย Shopify
สร้างประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัวในโลกการเปลี่ยนผ่านไปสู่เทคโนโลยีและแนวทางการจัดการข้อมูลข้อมูลลูกค้า
ข้อมูลลูกค้าคืออะไร?
ข้อมูลลูกค้าคือข้อมูลเชิงพฤติกรรม ข้อมูลประชากร และข้อมูลส่วนบุคคลที่ธุรกิจเก็บรวบรวมจากผู้ชมของตน
แบรนด์ต่างๆ เก็บข้อมูลลูกค้าเพื่อให้เข้าใจลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น และเพื่อการสื่อสารและการมีส่วนร่วมที่ตรงจุดกับกลุ่มเป้าหมาย ข้อมูลลูกค้าช่วยให้ธุรกิจเข้าใจว่าลูกค้าต้องการอะไรจากแบรนด์, สินค้าที่พวกเขากำลังมองหา และวิธีการที่พวกเขาชอบในการมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์
ประเภทของข้อมูลลูกค้า
ข้อมูลลูกค้าสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ซึ่งแต่ละประเภทมีวิธีการเก็บข้อมูลและข้อดีที่แตกต่างกัน
ข้อมูลจากบุคคลที่หนึ่ง (First-party data)
ข้อมูลจากลูกค้าโดยตรง คือ ข้อมูลที่ธุรกิจของคุณเก็บรวบรวมโดยตรงจากผู้ชมผ่านช่องทางและจุดปฏิสัมพันธ์ที่คุณเป็นเจ้าของ ลูกค้าที่มีปฏิสัมพันธ์กับเว็บไซต์ของคุณ, ทำการซื้อสินค้า, หรือมีส่วนร่วมกับแบรนด์ของคุณโดยตรง จะสร้างข้อมูลจากบุคคลที่หนึ่งที่มีคุณค่าโดยตรง ช่วยให้คุณเข้าใจถึงความชอบและพฤติกรรมของพวกเขา ปัจจุบัน 78% ของแบรนด์มองว่าข้อมูลจากบุคคลที่หนึ่งเป็นแหล่งข้อมูลที่มีค่าที่สุดในการปรับแต่งประสบการณ์ลูกค้า ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 37% ในปี 2022
สิ่งที่ทำให้ข้อมูลจากบุคคลที่หนึ่งมีความสำคัญ คือ ความน่าเชื่อถือและความถูกต้อง เนื่องจากข้อมูลเหล่านี้มาจากการปฏิสัมพันธ์โดยตรงของลูกค้า ทำให้สามารถให้ข้อมูลที่ถูกต้องที่สุดเกี่ยวกับความต้องการและพฤติกรรมของพวกเขา นอกจากนี้ยังมีความโปร่งใสอย่างเต็มที่ เนื่องจากลูกค้ารู้ว่าพวกเขากำลังแชร์ข้อมูลกับธุรกิจของคุณโดยตรง ไม่ใช่ผ่านบุคคลที่สาม
แบรนด์มักจะเก็บข้อมูลจากแหล่งแรกผ่าน
- บัญชีและโปรไฟล์ลูกค้า
- ประวัติการทำธุรกรรมและการซื้อสินค้า
- พฤติกรรมการเยี่ยมชมเว็บไซต์และรูปแบบการนำทาง
- แบบทดสอบแนะนำผลิตภัณฑ์
- การเข้าร่วมโปรแกรมสะสมคะแนน
- ข้อเสนอแนะและแบบสำรวจจากลูกค้า
- เครื่องมือวิเคราะห์เว็บไซต์
- การทำธุรกรรม ณ จุดขาย
ข้อมูลของบุคคลที่สาม (Third-party data)
ข้อมูลของบุคคลที่สาม คือ ข้อมูลที่คุณได้รับจากบุคคลที่สามที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์โดยตรงกับคุณหรือผู้บริโภคของคุณ คิดง่ายๆ ว่าเป็นข้อมูลที่บริษัทหนึ่งรวบรวมและขายให้กับบริษัทอื่น โดยข้อมูลเหล่านี้มักจะรวมถึงข้อมูลต่างๆ เช่น ข้อมูลประชากร พฤติกรรม ความสนใจ และกิจกรรมออนไลน์
แม้ว่าข้อมูลของบุคคลที่สามจะเป็นแหล่งข้อมูลที่นักการตลาดและธุรกิจใช้กันมายาวนาน แต่บทบาทของมันกำลังลดลงอย่างรวดเร็ว ในยุคที่ความตระหนักเรื่องความเป็นส่วนตัวและกฎระเบียบใหม่ๆ กำลังเพิ่มขึ้น
มีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้
- ผู้บริโภคมีความตระหนักเรื่องความเป็นส่วนตัวมากขึ้นกว่าเดิม
- เบราว์เซอร์ใหญ่ ๆ กำลังเลิกใช้คุกกี้ของบุคคลที่สาม
- กฎระเบียบเรื่องความเป็นส่วนตัวกำลังเข้มงวดขึ้นทั่วโลก
- บริษัทต่างๆ กำลังเปลี่ยนมาใช้กลยุทธ์ข้อมูลของบุคคลที่หนึ่ง
มีการผลักดันกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลทั่วโลก โดยในสหรัฐอเมริกา มี 20 รัฐ รวมถึงแคลิฟอร์เนีย เวอร์จิเนีย และโคโลราโด ได้บังคับใช้กฎหมายเพื่อปกป้องสิทธิ์ของผู้บริโภคเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลตั้งแต่เดือนกันยายน 2024 เป็นต้นไป
ในขณะเดียวกัน กฎระเบียบระหว่างประเทศเช่น EU Digital Services Act ซึ่งมีผลตั้งแต่พฤศจิกายน 2023 กำหนดให้มีความโปร่งใสในการตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลลูกค้า ขณะที่จีนได้ออกกฎหมาย Personal Information Protection Law (PIPL) ตั้งแต่พฤศจิกายน 2021 เพื่อควบคุมการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลอย่างเข้มงวด
ข้อมูลที่ลูกค้าตั้งใจเปิดเผย (Zero-party data)
ข้อมูลที่ลูกค้าตั้งใจเปิดเผย คือ ข้อมูลที่ลูกค้าตั้งใจและยินดีเปิดเผยให้กับแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็นความต้องการซื้อ ความชอบส่วนตัว บุคลิกภาพ หรือแม้แต่รูปแบบการสื่อสารที่พวกเขาต้องการให้แบรนด์ใช้
ข้อมูลลูกค้าประเภทนี้มักถูกเรียกว่า “ข้อมูลโดยตรง” เพราะเป็นข้อมูลที่ลูกค้าเต็มใจแชร์ข้อมูลดังกล่าวกับแบรนด์โดยตรง จึงถือว่ามีความน่าเชื่อถือและเชื่อถือได้มากกว่าข้อมูลประเภทอื่นของลูกค้า
ความสำคัญของข้อมูลลูกค้า
การใช้ข้อมูลลูกค้าในการตัดสินใจธุรกิจ
ข้อมูลลูกค้าคือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้คุณเห็นภาพจริงเกี่ยวกับสิ่งที่ได้ผลและสิ่งที่ไม่เป็นไปตามคาดหวัง เมื่อคุณเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า คุณจะสามารถตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดเกี่ยวกับทุกเรื่อง ตั้งแต่การเลือกสินค้าที่จะสต็อกไปจนถึงช่วงเวลาที่ควรจัดโปรโมชั่นลดราคา
ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณสังเกตจากข้อมูลว่า ลูกค้าที่ซื้อรองเท้าผ้าใบมักจะกลับมาซื้อใหม่ภายในหกเดือน คุณสามารถนำข้อมูลนี้ไปใช้ในการวางแผนได้ดังนี้
- ส่งอีเมลเตือนลูกค้าเหล่านั้นในช่วงที่พวกเขาอาจต้องการรองเท้าใหม่
- เตรียมสต็อกขนาดรองเท้าที่เป็นที่นิยมไว้ล่วงหน้าก่อนที่จะหมด
- สร้างโปรโมชั่นพิเศษสำหรับลูกค้าประจำเพื่อกระตุ้นให้พวกเขากลับมาซื้อซ้ำ
การปรับแต่งประสบการณ์ลูกค้า
เพิ่มมิติให้การช้อปปิ้งออนไลน์เหมือนมีผู้ช่วยส่วนตัว ตอนนี้มาถึงส่วนที่น่าสนุก! ด้วยข้อมูลลูกค้าที่ดี คุณสามารถทำให้การช้อปปิ้งออนไลน์กลายเป็นประสบการณ์ที่เหมือนมีผู้ช่วยส่วนตัวที่รู้ใจคุณอย่างแท้จริง
สิ่งนี้สามารถทำได้เมื่อคุณใช้แนวทาง Unified Commerce ซึ่งหมายความว่าทุกช่องทางการขายและกิจกรรมของร้านค้าจะมารวมกันในแพลตฟอร์มเดียวกัน จากรายงานของ EY POS Market ระบุว่า ผู้ค้าปลีกที่ใช้แนวทาง การค้าแบบรวมศูนย์ของ Shopify มีการเติบโตของมูลค่าการขายสินค้าหรือ GMV เฉลี่ยเพิ่มขึ้น 8.9%
กุญแจสำคัญคือการสร้าง "มุมมองลูกค้า 360 องศา" ซึ่งรวมถึง:
- สิ่งที่ลูกค้าซื้อทั้งออนไลน์และในร้าน
- วิธีที่พวกเขาชอบช้อปปิ้ง (ออนไลน์ ในร้าน หรือทั้งสองอย่าง)
- วิธีการชำระเงินที่พวกเขาชอบ
- รูปแบบการช้อปและความชอบของพวกเขา
ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้คุณสามารถมอบประสบการณ์ที่เหมาะสมแก่ลูกค้าได้ดังนี้:
- เว็บไซต์ที่ปรับแต่งเฉพาะสำหรับลูกค้า ซึ่งแสดงสินค้าที่พวกเขาน่าจะชอบมากที่สุด
- ประสบการณ์การชำระเงินที่ปรับแต่งตามความชอบของลูกค้า
- ประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ราบรื่นไม่ว่าจะออนไลน์หรือในร้าน
- เนื้อหาหรือสินค้าที่เหมาะสมกับที่ตั้งของลูกค้า ช่วยให้พวกเขารู้สึกใกล้ชิดและมีความสัมพันธ์กับแบรนด์มากขึ้น
การเพิ่มประสิทธิภาพการตลาดและผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI)
ไม่มีใครชอบการเสียเงินกับโฆษณาที่ไม่ได้ผล และข้อมูลลูกค้าที่ดีจะช่วยให้ธุรกิจใช้งบการตลาดได้อย่างคุ้มค่ามากขึ้น ข้อมูลของเราแสดงให้เห็นว่า ธุรกิจที่ใช้โปรไฟล์ลูกค้าแบบรวมศูนย์ (unified customer profiles) สามารถเห็นยอดขายเพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 20% ต่อการสั่งซื้อหนึ่งครั้ง!
วิธีที่คุณสามารถใช้ข้อมูลลูกค้าในการทำการตลาดที่ชาญฉลาดขึ้นมีดังนี้:
- สร้างรายการโฆษณาที่เจาะจงมากขึ้น โดยใช้ Shopify Audiences ซึ่งใช้เทคโนโลยีการเรียนรู้ของ machine learning ในการวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้ซื้อ และสามารถเพิ่มการแปลงการรีทาร์เก็ตได้สูงสุดถึง 2 เท่า
- ร่วมมือกับแบรนด์อื่น ๆ ผ่าน Shopify Collabs ซึ่งช่วยให้ธุรกิจเชื่อมต่อกับอินฟลูเอนเซอร์และบริหารโปรแกรมพันธมิตรได้ในที่เดียว
- แบ่งกลุ่มลูกค้าตามลักษณะต่างๆ โดยใช้เครื่องมือแบ่งกลุ่มของ Shopify ซึ่งช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างกลุ่มลูกค้าที่ไม่มีขีดจำกัดตามพฤติกรรม ประวัติการซื้อ หรือข้อมูลประชากร แล้วสร้างแคมเปญการตลาดที่ปรับแต่งเฉพาะสำหรับแต่ละกลุ่ม
- ศึกษารูปแบบพฤติกรรมการซื้อของลูกค้า เพื่อเข้าใจสินค้าที่พวกเขาชื่นชอบ แล้วใช้เครื่องมืออย่าง Shopify Collective เพื่อร่วมมือกับแบรนด์ที่สามารถนำเสนอสินค้าที่ลูกค้าต้องการ
เมื่อธุรกิจเข้าใจลูกค้าของตัวเองมากขึ้น ก็สามารถสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ดีขึ้นสำหรับทุกคนได้ ไม่เพียงแค่ลูกค้า แต่ยังส่งผลดีต่อผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ที่สูงขึ้นอีกด้วย!
วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลลูกค้า
ผ่านการมีปฏิสัมพันธ์โดยตรง
การมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าโดยตรงช่วยให้คุณสามารถเก็บข้อมูลจากลูกค้าได้โดยตรง ซึ่งถือเป็ข้อมูลจากบุคคลที่หนึ่ง (first-party data) ผ่านหลายจุดปฏิสัมพันธ์ในเส้นทางการช้อปปิ้งของพวกเขา
ข้อมูลลูกค้าที่มีคุณภาพจะช่วยให้คุณทำการตลาดได้อย่างเฉพาะเจาะจงและมอบประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นให้กับลูกค้า จากรายงานของ EY ระบุว่า การเก็บข้อมูลลูกค้าและการแบ่งกลุ่มข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพสามารถนำไปสู่ผลตอบแทนจากการลงทุนในการตลาดที่สูงขึ้นและการมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างบ่อยครั้ง
วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลลูกได้แก่:
- การตั้งระบบรับฟีดแบ็กในร้านที่จุดชำระเงิน
- การสร้างแบบสำรวจหลังการซื้อ
- การฝึกอบรมพนักงานให้เก็บข้อมูลลูกค้าระหว่างการมีปฏิสัมพันธ์
- การดำเนินการเก็บฟีดแบ็กที่จุดปฏิสัมพันธ์สำคัญ เช่น การคืนสินค้า หรือบริการลูกค้า
การใช้เครื่องมือเทคโนโลยี
เทคโนโลยีที่ครบถ้วนจะช่วยให้คุณจัดการข้อมูลลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ การใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม เช่น ระบบการจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า (CRM) แพลตฟอร์มการจัดการข้อมูล (DMP) และแพลตฟอร์มข้อมูลลูกค้า (CDP) ทำงานร่วมกันในการเก็บรวบรวมและจัดการข้อมูลลูกค้าผ่านทุกจุดปฏิสัมพันธ์ จะช่วยให้คุณสามารถดูแลลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและแม่นยำยิ่งขึ้น
การจัดการข้อมูลรวมผ่านเทคโนโลยีที่เหมาะสมจะช่วยลดเวลาในการใช้ทรัพยากรทางเทคนิคได้ถึง 60% โดยการกำจัดความจำเป็นในการใช้เครื่องมือกลาง (middleware) ซึ่งมักทำให้ข้อมูลสูญหาย ล่าช้า หรือสื่อสารไม่ถูกต้องระหว่างระบบต่างๆ
วิธีการตั้งค่าเทคโนโลยีของคุณ
- ใช้ระบบ CRM แบบรวมศูนย์ที่เชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของคุณ
- ติดตั้ง CDP เพื่อสร้างโปรไฟล์ลูกค้าแบบรวมศูนย์ทุกช่องทาง
- สร้างเวิร์กโฟลว์การเก็บรวบรวมข้อมูลอัตโนมัติระหว่างระบบ
- กำหนดค่าการรวมศูนย์หน้าบ้านและหลังบ้าน สำหรับการดำเนินงานค้าปลีกและอีคอมเมิร์ซ
- ตั้งค่าการรายงานและการวิเคราะห์อัตโนมัติทุกแพลตฟอร์ม เพื่อให้คุณสามารถติดตามผลได้ทันที
💡 เคล็ดลับ: หลีกเลี่ยงการเชื่อมต่อระบบที่แยกจากกันซึ่งไม่แชร์ข้อมูลพื้นฐานเดียวกัน เพราะมันอาจทำให้ข้อมูลเกิดความไม่สอดคล้องกันและเสียเวลาในการจัดการ
การกระตุ้นให้ลูกค้าสร้างบัญชี
ในยุคปัจจุบัน ร้านค้าหลายแห่งได้สร้างแรงจูงใจให้ลูกค้าสร้างบัญชีและแชร์ข้อมูลของตนเองอย่างเต็มใจ การสร้างโปรไฟล์ลูกค้าแบบรวมศูนย์แทนการกระจัดกระจายข้อมูลในหลายฐานข้อมูล จะช่วยให้การทำการตลาดเป็นส่วนตัวมากขึ้นและสามารถทำการรีทาร์เก็ตได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งควบคุมข้อมูลลูกค้าได้อย่างมั่นคง
การเก็บข้อมูลลูกค้าที่ดีขึ้นไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มความถี่ในการติดต่อกับลูกค้า แต่ยังส่งผลให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำอีกด้วย ธุรกิจสามารถเปลี่ยนการสร้างบัญชีจากแค่การสมัครเป็นขั้นตอนง่ายๆ ให้กลายเป็นรากฐานของความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับลูกค้า โดยมอบมูลค่า หรือประสบการณ์จริงเพื่อแลกกับการแชร์ข้อมูล (เช่น ฟังก์ชันการบริการตัวเองและประสบการณ์ที่ปรับแต่งตามความชอบ)
วิธีการกระตุ้นให้ลูกค้าสร้างบัญชี
- สร้างการแลกเปลี่ยนมูลค่าที่ชัดเจนผ่านสิทธิประโยชน์ทันที เช่น โปรแกรมสะสมคะแนน หรือฟีเจอร์พิเศษที่ทำให้การสร้างบัญชีดูคุ้มค่าและน่าสนใจสำหรับลูกค้า
- เปิดใช้งานฟังก์ชันการบริการตนเองเช่น การจัดการคำสั่งซื้อ รายการสินค้าที่สนใจ และตะกร้าสินค้าที่บันทึกไว้ เพื่อสร้างนิสัยในการใช้บัญชีอย่างสม่ำเสมอ
- มอบประสบการณ์ที่ปรับแต่งได้ ผ่านการแนะนำสินค้าที่ตรงกับความสนใจ, ส่วนลดที่เหมาะสม, และการสื่อสารที่ปรับให้ตรงกับแต่ละบุคคล เพื่อแสดงให้เห็นถึงคุณค่าที่ต่อเนื่องของการมีบัญชี
การสร้างบัญชีไม่ควรเป็นเรื่องยุ่งยาก แต่ควรเป็นประสบการณ์ที่รวดเร็วและคุ้มค่าแก่ลูกค้า การใช้วิธีเหล่านี้จะช่วยเพิ่มความภักดีของลูกค้าและเสริมสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับพวกเขา!
ระบบอีคอมเมิร์ซและ POS
การรวมระบบที่เชื่อมโยงการเก็บข้อมูลลูกค้าผ่านทั้งช่องทางออนไลน์และร้านค้าปลีกจริง จะช่วยสร้างแหล่งข้อมูลเดียวที่เชื่อถือได้สำหรับการติดต่อกับลูกค้าทุกครั้ง
บน Shopify POS, Oak + Fort รายงานว่าพวกเขาประหยัดเวลาได้ประมาณ
- 50 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ในการทำงานของพนักงานในสำนักงานใหญ่
- 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ สำหรับทีมบริการลูกค้า
- 10 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ในการสนับสนุนด้าน IT
- 80 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ของพนักงานที่ทำงานในร้านค้าทั้ง 42 สาขา
Guillaume Jaillet เจ้าหน้าที่บริหารด้านช่องทางการขายหลายช่องทางของ Frank and Oak กล่าวว่า “”ร้านค้าปลีกของเราเป็นแรงขับเคลื่อนอันดับหนึ่งของลูกค้าแบบ Omnichannel ที่ซื้อสินค้าทั้งทางออนไลน์และหน้าร้านมาโดยตลอด ดังนั้นร้านค้าปลีกจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเติบโตของเรา เพื่อมอบประสบการณ์ที่เชื่อมโยงและเชื่อมโยงลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เราจึงต้องการระบบ POS ที่ทำงานร่วมกับช่องทางอีคอมเมิร์ซของเราได้ดียิ่งขึ้น”
ขั้นตอนการเก็บรวบรวมข้อมูลนี้ได้แก่:
- การรวมศูนย์การดำเนินงานของหน้าบ้านและหลังบ้านสำหรับช่องทางทั้งออนไลน์และในร้านค้า
- การสร้างและรักษาโปรไฟล์ลูกค้าแบบรวมศูนย์ทุกช่องทาง
- การติดตามจุดปฏิสัมพันธ์ของลูกค้าทั้งหมดรวมถึงการซื้อ การมีปฏิสัมพันธ์กับบริการ และกิจกรรมสะสมคะแนน
- การเปิดใช้งานการซิงค์ข้อมูลแบบเรียลไทม์สำหรับสินค้าคงคลัง ออเดอร์ และโปรโมชั่น
- รวบรวมข้อมูลการส่งคืนและการแลกเปลี่ยนเพื่อทำให้ภาพรวมการเดินทางของลูกค้าสมบูรณ์
- การแชร์ข้อมูลโปรไฟล์ลูกค้าอย่างสม่ำเสมอทั้งประสบการณ์ในร้านและออนไลน์
การใช้ประโยชน์จากโซเชียลมีเดียและการมีส่วนร่วมออนไลน์
ช่องทางดิจิทัล สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมและความชอบของลูกค้าผ่านการมีปฏิสัมพันธ์ของพวกเขา ตัวอย่างเช่น สื่อสังคมออนไลน์ถือเป็นแหล่งข้อมูลที่มีค่าในการเก็บข้อมูลลูกค้า ซึ่งช่วยให้ธุรกิจสามารถ:
- สังเกตว่าผู้คนมีปฏิสัมพันธ์กับโพสต์ของคุณอย่างไร
- ใส่ใจในความคิดเห็นและข้อความที่ลูกค้าทิ้งไว้
- ดูว่าเนื้อหาใดที่ได้รับการกดไลค์และแชร์มากที่สุด
- ใช้ข้อมูลจากสื่อสังคมออนไลน์เพื่อเข้าใจสิ่งที่ลูกค้าของคุณสนใจ
การมีปฏิสัมพันธ์ของลูกค้าบนแพลตฟอร์มสังคมออนไลน์จะถูกบันทึกและเชื่อมโยงเข้ากับโปรไฟล์ลูกค้าที่ใช้ในร้านและบนเว็บไซต์ออนไลน์ ดังนั้น สื่อสังคมออนไลน์จึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของมุมมองลูกค้าแบบรวมศูนย์ แทนที่จะเป็นข้อมูลแยกส่วนที่ไม่เชื่อมโยงกัน
ความท้าทายในการเก็บรวบรวมและใช้ประโยชน์จากข้อมูลลูกค้า
ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย
การเก็บข้อมูลลูกค้าชัดเจนว่าเป็นสิ่งสำคัญต่อการเติบโตของธุรกิจ แต่การรักษาความปลอดภัยของข้อมูลนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่า ธุรกิจต้องระมัดระวังและปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านการปกป้องข้อมูล เช่น GDPR และ CCPA เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาทางกฎหมายและการสูญเสียความไว้วางใจจากลูกค้า
ธุรกิจต้องโปร่งใสเกี่ยวกับข้อมูลที่เก็บรวบรวมและวิธีการใช้งานข้อมูลเหล่านั้น ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมการใช้ระบบที่รวมข้อมูลทั้งหมดในที่เดียวอย่าง Shopify จึงเป็นทางเลือกที่ดี เพราะช่วยให้ข้อมูลที่ละเอียดอ่อนของลูกค้าอยู่ในที่ปลอดภัยและไม่กระจายไปตามระบบต่าง ๆ ที่อาจเสี่ยงต่อการถูกโจมตี
การกระจายข้อมูล (Data Fragmentation)
เมื่อธุรกิจมีทั้งร้านค้าออนไลน์และร้านค้าจริง ข้อมูลลูกค้าจะกระจายอยู่ในหลายที่ ทำให้ธุรกิจต้องรับมือกับปัญหาในการเชื่อมโยงข้อมูลจากหลายแหล่งเข้าด้วยกัน ซึ่งเป็นงานที่ยุ่งยากและใช้เวลาอย่างมาก
Oak + Fort ได้ใช้เวลาประมาณ 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ในการจัดการข้อมูลประสบการณ์ลูกค้าผ่านระบบต่างๆ ที่แยกกัน เมื่อข้อมูลกระจัดกระจายแบบนี้ จะต้องใช้ความพยายามมากในการให้ภาพที่ชัดเจนเกี่ยวกับพฤติกรรมการช้อปปิ้งของลูกค้าและสิ่งที่พวกเขาต้องการ
ความแม่นยำและความเกี่ยวข้อง
การทำให้ข้อมูลลูกค้าถูกต้องและมีความเกี่ยวข้องอยู่เสมอเป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่สำคัญ ร้านค้าจะสามารถเห็นการเพิ่มขึ้นของรายได้ประมาณ 9% เมื่อสามารถเก็บและใช้ข้อมูลลูกค้าอย่างถูกต้อง แต่การจะได้ผลลัพธ์นี้ ข้อมูลต้องเป็นข้อมูลที่ทันสมัยและมีประโยชน์จริงๆ
ความชอบและพฤติกรรมของลูกค้าจะเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ดังนั้นคุณจำเป็นต้องมีวิธีการในการอัปเดตข้อมูลเหล่านี้อยู่ตลอดเวลา การซิงค์มูลแบบเรียลไทม์ระหว่างช่องทางต่างๆ จะช่วยแก้ปัญหานี้ได้หลายวิธี
เนื่องจากแพลตฟอร์มของ Shopify ใช้แนวทางที่เรียกว่า "single brain" ซึ่งหมายความว่า ระบบ POS และ อีคอมเมิร์ซใช้แพลตฟอร์มเดียวกัน ข้อมูลทั้งหมดจะซิงค์กันโดยอัตโนมัติ เมื่อมีการซื้อสินค้าภายในร้านของคุณ เว็บไซต์ของคุณจะรับรู้ข้อมูลนั้นทันที สต็อกสินค้าจะอัปเดตอัตโนมัติ และโปรไฟล์ลูกค้าจะยังคงถูกต้องและเป็นปัจจุบัน
การซิงค์ข้อมูลเรียลไทม์ช่วยให้ธุรกิจสามารถเสนอประสบการณ์ที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้น (ไม่ว่าพวกเขาจะซื้อที่ไหน) และทำให้การจัดการสต็อกและการตลาดมีประสิทธิภาพสูงสุด
การใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์ม Shopify
Shopify ช่วยให้การจัดการข้อมูลลูกค้าเป็นเรื่องง่ายและมีประสิทธิภาพมากกว่าระบบแพลตฟอร์มแบบดั้งเดิม แพลตฟอร์มส่วนใหญ่ต้องพยายามรวบรวมข้อมูลลูกค้าจากหลายระบบ เหมือนกับการพยายามประกอบปริศนาจากชิ้นส่วนที่มาจากหลายกล่อง
แต่ Shopify ใช้แนวทางที่แตกต่างออกไป เราได้สร้างระบบที่เรียกว่า "single brain" ซึ่งทำให้ข้อมูลลูกค้าทั้งหมดไหลจากแหล่งข้อมูลเดียวที่เชื่อถือได้
สิ่งที่ทำให้ระบบนี้ได้ผลคืออะไร?
- ระบบศูนย์กลางเดียวที่จัดการข้อมูลลูกค้าทั้งหมด รวมถึงการอนุญาตการเข้าถึงข้อมูล
- มาตรฐานการเก็บข้อมูลที่สม่ำเสมอ ทั่วทั้งช่องทางออนไลน์และในร้าน
- การจัดการข้อมูลที่ปลอดภัยขึ้นด้วยจุดถ่ายโอนที่น้อยลง
- เครื่องมือการปฏิบัติตามกฎระเบียบในตัวซึ่งสามารถใช้งานได้ทั่วทั้งธุรกิจของคุณ
ทุกอย่างถูกออกแบบให้ทำงานร่วมกันตั้งแต่เริ่มต้น โดยมีโปรไฟล์ลูกค้าแบบรวมศูนย์ที่เคารพความเป็นส่วนตัวของลูกค้าในทุกช่องทาง ไม่ว่าลูกค้าจะช้อปปิ้งออนไลน์หรือในร้าน ระบบจะจัดการการเก็บข้อมูลอย่างสอดคล้องกับข้อกำหนดด้านความเป็นส่วนตัว พร้อมให้เครื่องมือทางการตลาดของคุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แนวทางแบบรวมศูนย์นี้ช่วยให้การติดตามกฎหมายและข้อบังคับด้านความเป็นส่วนตัวที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นเรื่องง่ายยิ่งขึ้น การเตรียมธุรกิจของคุณให้พร้อมสำหรับอนาคตจะง่ายขึ้น เพราะ Shopify จัดการการอัปเดตเป็นประจำเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานความเป็นส่วนตัวใหม่ๆ และมีเครื่องมือในตัวสำหรับการปกป้องข้อมูลและการปฏิบัติตามข้อกำหนด
เปิดยุคใหม่ของข้อมูลลูกค้าด้วย Shopify
ในอดีต แบรนด์ต่าง ๆ สามารถพึ่งพาผู้ให้บริการข้อมูลจากภายนอกและคุกกี้เพื่อช่วยในการเข้าใจกลุ่มลูกค้า แต่ในปัจจุบัน การเพิ่มขึ้นของข้อบังคับด้านความเป็นส่วนตัวและลูกค้าที่ให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวกำลังบ่งชี้ถึงการสิ้นสุดของการตลาดที่ใช้คุกกี้
แบรนด์ที่ต้องการสร้างความประทับใจให้ลูกค้าด้วยประสบการณ์ที่ปรับแต่งได้จะต้องใช้ข้อมูลลูกค้าจากบุคคลที่หนึ่ง เพื่อรักษาความได้เปรียบในตลาด การรวมข้อมูลลูกค้าจากทั้งช่องทางออนไลน์และในร้านจะกลายเป็นสิ่งสำคัญยิ่งสำหรับความสำเร็จในยุคการค้าปลีกในอนาคต
สิ่งที่ต้องทำคือ การตรวจสอบวิธีการเก็บข้อมูลและโครงสร้างเทคโนโลยีที่ใช้ในปัจจุบัน เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถเก็บข้อมูลลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งเคารพการตั้งค่าความเป็นส่วนตัวของลูกค้า การปรับตัวไม่ทันกับการเปลี่ยนแปลงนี้อาจทำให้ธุรกิจต้องล้าหลัง เพราะประสบการณ์ที่ปรับแต่งตามความต้องการของลูกค้าจะกลายเป็นมาตรฐาน ไม่ใช่แค่ข้อยกเว้นอีกต่อไป
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับข้อมูลลูกค้า
ข้อมูลลูกค้าคืออะไร?
ข้อมูลลูกค้า คือ ข้อมูลทุกประเภทที่ช่วยให้คุณเข้าใจว่าใครคือลูกค้าของคุณและพวกเขามีปฏิสัมพันธ์กับธุรกิจของคุณอย่างไร ข้อมูลนี้อาจรวมถึงรายละเอียดพื้นฐาน เช่น ชื่อและข้อมูลติดต่อ แต่ยังรวมถึงพฤติกรรมการช้อปปิ้ง ความชอบ และวิธีที่พวกเขามีส่วนร่วมกับการตลาดของคุณ
ข้อมูลลูกค้า 4 ประเภทมีอะไรบ้าง?
ข้อมูลลูกค้าแบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลักๆ ได้แก่ ข้อมูลประจำตัว (ตัวตนของลูกค้า) ข้อมูลพฤติกรรม (พฤติกรรมของลูกค้า) ข้อมูลการมีส่วนร่วม (ปฏิสัมพันธ์กับธุรกิจของคุณ) และข้อมูลทัศนคติ (ความคิดและความรู้สึกของลูกค้า) แต่ละประเภทให้ข้อมูลเชิงลึกที่แตกต่างกัน เช่น ข้อมูลประจำตัวที่บอกคุณว่าลูกค้าของคุณคือใคร ขณะที่ข้อมูลพฤติกรรมจะแสดงรูปแบบการซื้อของลูกค้า
ข้อมูลผู้บริโภคคืออะไร?
ข้อมูลผู้บริโภคประกอบด้วยข้อมูลส่วนบุคคลที่สามารถระบุตัวตนได้ (PII) เช่น ชื่อ ที่อยู่ และหมายเลขโทรศัพท์ รวมถึงกิจกรรมต่างๆ เช่น ประวัติการซื้อ พฤติกรรมการเรียกดูเว็บไซต์ และการโต้ตอบกับแบรนด์ของคุณ นอกจากนี้ยังครอบคลุมถึงความชอบ ความคิดเห็น และวิธีที่พวกเขาตอบสนองต่อความพยายามทางการตลาดของคุณ
จะเก็บข้อมูลลูกค้าได้จากที่ไหน?
คุณสามารถรวบรวมข้อมูลลูกค้าได้โดยตรงผ่านธุรกรรมการขาย การโต้ตอบบนเว็บไซต์ โปรแกรมสะสมคะแนน และแบบฟอร์มความคิดเห็นจากลูกค้า คุณยังสามารถรวบรวมข้อมูลผ่านช่องทางทางอ้อม เช่น การมีส่วนร่วมบนโซเชียลมีเดีย เครื่องมือวิเคราะห์จากบุคคลที่สาม และการวิจัยตลาด Shopify เน้นการรวบรวมข้อมูลจากบุคคลที่หนึ่งโดยตรงจากช่องทางของคุณเอง เนื่องจากมีความน่าเชื่อถือและสอดคล้องกับกฎหมายความเป็นส่วนตัวมากกว่า


