ในประเทศไทย ตลาดอีคอมเมิร์ซแบบขายตรงถึงผู้บริโภค (DTC) กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยคาดว่าจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปีนี้
ขณะเดียวกัน อีคอมเมิร์ซโดยรวมยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ในช่วงสองปีที่ผ่านมา คำสั่งซื้อครั้งแรกของธุรกิจใน Shopify เพิ่มขึ้น 33% และลูกค้าที่กลับมาซื้อซ้ำเพิ่มขึ้น 59% แบรนด์ต่างๆ ไม่เพียงแต่เห็นหน้าใหม่เท่านั้น แต่ยังสามารถเปลี่ยนผู้ซื้อให้กลายเป็นลูกค้าที่ภักดีได้อีกด้วย
เมื่อแบรนด์หันมาใช้โมเดล DTC พวกเขาจะตัดตัวกลางทั้งผู้ค้าส่งและร้านค้าปลีกออกไป แล้วขายตรงไปยังลูกค้าปลายทางแทน มาดูกันว่าคุณจะทำแบบเดียวกันได้อย่างไร
โมเดลการขายตรงถึงผู้บริโภคคืออะไร
การขายตรงถึงผู้บริโภค (DTC) คือเมื่อแบรนด์หรือผู้ผลิตขายสินค้าของตนเองไปยังลูกค้าปลายทางโดยตรง องค์ประกอบสำคัญของโมเดลการขายตรงถึงผู้บริโภค ได้แก่
- ไม่มีตัวกลาง: บริษัทขายตรงไปยังผู้บริโภค ไม่ผ่านผู้ค้าปลีกบุคคลที่สาม
- ควบคุมแบรนด์ได้มากขึ้น: บริษัทสามารถควบคุมวิธีการนำเสนอ การตลาด และการจัดส่งสินค้าไปยังผู้บริโภคได้มากขึ้น
- ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับลูกค้าที่ดีกว่า: บริษัทเป็นเจ้าของข้อมูลลูกค้าทั้งหมด และสามารถเสนอการตลาดและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นส่วนตัวได้
- อัตรากำไรที่สูงขึ้น: เมื่อไม่มีตัวกลาง บริษัทสามารถได้กำไรมากขึ้นจากการขายแต่ละครั้ง
โมเดลการค้าปลีก DTC กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น เพราะช่วยให้แบรนด์เข้าใกล้ลูกค้ามากขึ้น แบรนด์ขายตรงถึงผู้บริโภคสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าได้โดยตรง ทำให้ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นขึ้น
ความแตกต่างระหว่างการขายแบบดั้งเดิมและการขายตรงถึงผู้บริโภค
การค้าปลีก
การค้าปลีกคือวิธีการขายสินค้าให้กับลูกค้าในร้านค้าหรือออนไลน์ ร้านค้าจะซื้อสินค้าจากผู้ผลิตหรือผู้ค้าส่ง แล้วนำมาขายในร้านของตน ลูกค้าจะมาซื้อที่ร้าน
สำหรับการขายตรงถึงผู้บริโภค บริษัทจะขายสินค้าให้กับลูกค้าโดยตรง ซึ่งมักจะทำผ่านช่องทางออนไลน์ ประสบการณ์ของลูกค้าทั้งหมดจะอยู่ภายใต้การดูแลของแบรนด์ ซึ่งสามารถทำราคาให้ถูกลงได้จากการตัดส่วนต่างราคาของพ่อค้าคนกลางออกไป แบรนด์การขายตรงถึงผู้บริโภคหลายรายได้ขยายธุรกิจด้วยการเปิดหน้าร้านจริง เช่น ThirdLove แบรนด์ชุดชั้นในที่ปัจจุบันมีหน้าร้านในเมืองต่างๆ อย่างชิคาโก, โบกา ราตัน และซานฟรานซิสโก
การค้าส่ง
โมเดลการค้าส่งคือ การที่ผู้ผลิตขายสินค้าในปริมาณมากให้กับผู้ค้าปลีก จากนั้นผู้ค้าปลีกจะทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการทำการตลาดและขายสินค้าเหล่านี้ต่อไปยังผู้บริโภค
ข้อแตกต่างระหว่างโมเดลค้าปลีกแบบขายส่ง และแบบการขายตรงถึงผู้บริโภค
- โมเดลขายส่ง/ค้าปลีกแบบดั้งเดิม: ผู้ผลิต > ผู้ค้าส่ง > ตัวแทนจำหน่าย > ผู้ค้าปลีก > ผู้บริโภคปลายทาง
- โมเดลการขายตรงถึงผู้บริโภค: ผู้ผลิต > การโฆษณา/เว็บไซต์ > ลูกค้าปลายทาง
ปัจจุบันหลายแบรนด์เลือกขายทั้งแบบการขายตรงถึงผู้บริโภคและแบบขายส่งควบคู่กันไป นอกเหนือจากการขายปลีกโดยตรงให้ลูกค้า (ทั้งออนไลน์และหน้าร้าน) The Conran Shop ได้เปิดตัวเว็บไซต์ B2B โดยเฉพาะที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องมือ B2B ของ Shopify เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าคู่ค้า เช่น นักออกแบบตกแต่งภายใน สถาปนิก และธุรกิจอื่นๆ
อันที่จริง แบรนด์ที่ใช้ระบบ B2B บน Shopify มียอดสั่งซื้อแบบบริการตัวเองเพิ่มขึ้นถึง 33% ภายในเวลาเพียง 6 เดือน และมีความถี่ในการสั่งซื้อซ้ำเพิ่มขึ้นถึง 3.4 เท่า เมื่อเทียบกับออเดอร์จากการขายตรงถึงผู้บริโภคเพียงอย่างเดียว
การรวบรวมการดำเนินงานทั้งแบบ B2B และ B2C ไว้บนแพลตฟอร์มเดียว ช่วยให้ The Conran Shop ลดความซับซ้อนในการจัดการระบบที่แยกขาดจากกันลงได้ สิ่งที่ The Conran Shop ทำได้สำเร็จเมื่อใช้ Shopify คือ:
- ลดต้นทุนรวมในการเป็นเจ้าของ (Total Cost of Ownership) ลงได้ 50%
- อัตราการคอนเวอร์ชันเพิ่มขึ้น 54%
- รายได้จากการตลาดผ่านอีเมลเพิ่มขึ้น 23%
ข้อดีของการขายตรงถึงผู้บริโภค
อะไรคือแรงขับเคลื่อนที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนผ่านสู่แบรนด์การขายตรงถึงผู้บริโภค? คำตอบคือผลประโยชน์ที่ได้รับร่วมกันทั้งฝั่งลูกค้าและฝั่งแบรนด์นั่นเอง
แข่งขันกับแบรนด์ค้าปลีกเจ้าตลาดได้
แบรนด์การขายตรงถึงผู้บริโภคมีโอกาสพิเศษที่จะสร้างความโดดเด่นจากคู่แข่ง สิ่งนี้เห็นได้ชัดเจนโดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าที่มีการเติบโตสูงอย่างเสื้อผ้า สุขภาพและความงาม และของแต่งบ้านและสวน ซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมยอดนิยมที่มีปริมาณคำสั่งซื้อสูงสุด สำหรับธุรกิจที่ทำยอดขายรวมมากกว่า 1 ล้านดอลลาร์บน Shopify
เมื่อไม่ต้องขึ้นอยู่กับการตีความสินค้าโดยร้านค้าปลีก แบรนด์จึงสามารถใช้ความคิดสร้างสรรค์และแสดงคุณค่าของตัวเองได้อย่างเต็มที่ แบรนด์การขายตรงถึงผู้บริโภคยังสามารถนำเสนอสินค้าได้ครบทุกไลน์การผลิต โดยไม่ถูกจำกัดอยู่แค่สินค้าที่ร้านค้าปลีกมองว่า "กำลังฮิต" การมอบทางเลือกที่มากกว่าให้นักช้อปจึงเป็นกุญแจสำคัญในการดึงลูกค้าเข้ามาที่เว็บไซต์ DTC ของคุณ
ควบคุมช่องทางการจัดจำหน่ายได้เอง
ผู้ค้าปลีกแบบดั้งเดิมต้องส่งสินค้าไปยังผู้ค้าส่ง ซึ่งจะส่งต่อไปยังตัวแทนจำหน่าย ก่อนจะถึงมือผู้บริโภค ยิ่งซัพพลายเชนยาวเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งเสี่ยงต่อปัญหามากขึ้นเท่านั้น แค่สะดุดจุดเดียวก็ทำให้ทุกคนในสายงานล่าช้าไปหมด
ผู้ค้าปลีกแบบการขายตรงถึงผู้บริโภคมีความเสี่ยงในห่วงโซ่อุปทานน้อยกว่า ยกตัวอย่างเช่นแบรนด์ Venus et Fleur แบรนด์ดอกไม้หรูเจ้านี้อาจพึ่งพาช่องทางค้าปลีกแบบเดิมก็ได้ แต่การทำแบบนั้นอาจทำให้ความสดใหม่และการจัดส่งที่ตรงเวลาของดอกกุหลาบที่อยู่ได้นานเป็นปี ด้อยคุณภาพลง
เมื่อใช้วิธีการขายตรงถึงผู้บริโภค Venus et Fleur สามารถรวมระบบจัดการสต็อกและการจัดส่งเข้าด้วยกัน เพื่อให้มั่นใจว่าช่อดอกไม้แต่ละช่อจะถึงมือลูกค้าในสภาพและเวลาที่ลูกค้าคาดหวังเป๊ะๆ แบรนด์สามารถลดปัญหาในห่วงโซ่อุปทานที่มีราคาแพงลงได้ ในขณะเดียวกันก็เพิ่มมูลค่าการสั่งซื้อเฉลี่ยและความภักดีของลูกค้าให้สูงขึ้น
นอกจากนี้ ร้านค้าปลีกยังมีอำนาจเบ็ดเสร็จในการเลือกวางสินค้าของคุณ ซึ่งฟังดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กแต่มันส่งผลต่อรายได้มหาศาล มีผลการศึกษาพบว่า สินค้ามียอดขายตกลงถึง 25% เมื่อถูกนำไปวางบนชั้นวางที่มองเห็นได้ยาก
ทดลองและรับฟังความคิดเห็นจากลูกค้า
การขายตรงถึงผู้บริโภคหมายความว่าคุณมี "หูตา" ที่คอยสอดส่องตลอดเส้นทางของลูกค้าตั้งแต่ต้นจนจบ คุณจะเข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงซื้อ (และซื้ออย่างไร) ซึ่งเป็นข้อมูลเชิงลึกที่จะหายไปทันทีหากขายสินค้าผ่านกลยุทธ์ค้าปลีกแบบดั้งเดิม
ด้วยข้อมูลจากลูกค้า คุณสามารถปรับปรุงธุรกิจได้หลายอย่าง เช่น
- ตอบสนองคำเรียกร้องของลูกค้าที่ต้องการสินค้าหลากหลายขึ้น
- ปรับแต่งภาพบนเว็บไซต์ให้เหมาะกับมือถือ เพราะการเข้าชมร้านค้าครึ่งหนึ่งมาจากมือถือ
- ทำ A/B Testing บนหน้าแลนดิ้ง และข้อความโฆษณาเพื่อดูว่าแบบไหนโดนใจลูกค้าที่สุด
การมีข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับประสบการณ์ของลูกค้าที่มีต่อสินค้า จะช่วยให้คุณพัฒนาและปรับปรุงได้เร็วกว่า คุณจะรู้อุปสรรคและความต้องการของลูกค้าโดยไม่ต้องไปคอยง้อขอข้อมูลจากผู้ค้าปลีกแต่ละราย
ความสามารถในการสร้างประสบการณ์เฉพาะบุคคล (Personalization)
การใส่ใจรายละเอียดส่วนบุคคลนั้นมีผลอย่างมาก ผู้บริโภคราว 50% บอกว่าข้อเสนอและโปรโมชันที่ทำมาเพื่อเขาโดยเฉพาะช่วยให้ประสบการณ์ช้อปปิ้งดีขึ้น นั่นหมายความว่า แบรนด์ที่ใช้ข้อมูลลูกค้าโดยตรง มักจะมียอดขายและการซื้อซ้ำที่สูงกว่า เมื่อไม่มีข้อจำกัดของห้างค้าปลีกรายใหญ่ แบรนด์ที่ขายตรงถึงผู้บริโภคจึงสามารถเฉิดฉายได้ด้วยการมอบประสบการณ์ที่รู้ใจลูกค้า
แบรนด์อย่าง Mizzen+Main สามารถมอบประสบการณ์เฉพาะบุคคลผ่านโปรไฟล์ลูกค้าที่เชื่อมโยงถึงกัน ซึ่งช่วยให้พนักงานหน้าร้านและนักการตลาดเห็นประวัติการซื้อ การโต้ตอบ และความชอบของลูกค้า "พนักงานหน้าร้านของเราสามารถเข้าไปดูบัญชีลูกค้าที่สร้างไว้ทางออนไลน์ แล้วดูว่าพวกเขามีคะแนนสะสมเท่าไหร่ จากนั้นก็นำเครดิตมาใช้ลดราคาให้ได้เลย" Natalie Shaddick รองประธานฝ่ายอีคอมเมิร์ซของ Mizzen+Main กล่าว "เรื่องแบบนี้คงทำได้ยากมากถ้าเราไม่ได้ใช้ Shopify สำหรับทั้งระบบอีคอมเมิร์ซและ POS"
โปรโมชันที่เชื่อมต่อกันทุกช่องทางของแบรนด์ช่วยสร้างประสบการณ์ลูกค้าที่ลื่นไหลและสม่ำเสมอ ส่งผลให้เกิดการเติบโตที่แข็งแกร่ง โดยรายได้จากหน้าร้านเพิ่มขึ้น 27% และรายได้ออนไลน์เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบปีต่อปีในปี 2023
เพิ่มกำไรโดยไม่ต้องขึ้นราคา
บริษัทที่ทำการขายตรงถึงผู้บริโภคไม่จำเป็นต้องเฉือนกำไรของตัวเองทิ้ง เพราะไม่มีผู้ค้าปลีก ผู้ค้าส่ง หรือ Marketplace มาคอยหักเปอร์เซ็นต์ส่วนแบ่งจากราคาขายปลีก
แบรนด์ที่ขายตรงถึงผู้บริโภคยังสามารถลดรายจ่ายฝ่ายทุน (CAPEX) หรือค่าเช่าพื้นที่ขายของลงได้ พวกเขาไม่จำเป็นต้องเช่าหน้าร้านแพงๆ เสมอไปเพื่อสร้างการเติบโต และด้วยความสามารถในการทำกำไรที่เพิ่มขึ้นในสินค้าแต่ละชิ้นนี้เอง แบรนด์การขายตรงถึงผู้บริโภคจึงสามารถขายสินค้าในราคาที่ต่ำกว่าได้ผ่านช่องทางของตัวเอง
ข้อผิดพลาดที่ควรหลีกเลี่ยงเมื่อก้าวสู่ธุรกิจการขายตรงถึงผู้บริโภค
นี่คือ 5 กับดักทั่วไปที่ควรหลีกเลี่ยงเมื่อเริ่มต้นและขยายธุรกิจขายตรงถึงผู้บริโภค
- การวิจัยตลาดและความเข้าใจที่ไม่เพียงพอ: ธุรกิจขายตรงถึงผู้บริโภคจำนวนมากตกม้าตาย เพราะไม่ได้วิจัยตลาดเป้าหมายให้ละเอียด และไม่เข้าใจความต้องการของลูกค้าอย่างถ่องแท้ สิ่งนี้อาจนำไปสู่กลยุทธ์การตลาดที่ไร้ประสิทธิภาพ สินค้าไม่ตรงใจ และท้ายที่สุดคือยอดขายที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน จงทำการวิจัยตลาดเชิงลึกเพื่อระบุลูกค้าเป้าหมาย ความชอบ และปัญหาของพวกเขา เพื่อสร้างสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการเหล่านั้นได้อย่างแท้จริง
- ขาดความแตกต่างของแบรนด์: พื้นที่ของการขายตรงถึงผู้บริโภคนั้นแข่งขันกันดุเดือดมาก และธุรกิจใหม่ๆ มักประสบปัญหาในการสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง ให้โฟกัสไปที่การสร้างจุดขายที่เป็นเอกลักษณ์และอัตลักษณ์ของแบรนด์ สื่อสารข้อความนี้อย่างสม่ำเสมอในทุกช่องทาง เพื่อสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งและน่าจดจำ ซึ่งจะทำให้คุณโดดเด่นออกมาจากคู่แข่ง
- พึ่งพาการซื้อโฆษณามากเกินไป: ธุรกิจขายตรงถึงผู้บริโภคจำนวนมากพึ่งพาช่องทางการตลาดแบบเสียเงินมากเกินไป เช่น โฆษณาโซเชียลมีเดียและ Google Ads เพื่อดึงคนเข้าเว็บและสร้างยอดขาย แม้ช่องทางเหล่านี้จะได้ผล แต่ก็มีค่าใช้จ่ายสูงและอาจให้ผลตอบแทนลดลงเรื่อยๆ ควรกระจายกลยุทธ์การตลาดและลงทุนในช่องทางการเติบโตแบบออร์แกนิก เช่น SEO การตลาดด้วยคอนเทนต์ และการตลาดผ่านอีเมล เพื่อสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้าและกลยุทธ์การหาลูกค้าใหม่ที่ยั่งยืน
- ละเลยประสบการณ์ลูกค้าและการรักษาลูกค้า: เป็นเรื่องง่ายที่จะมัวแต่สนใจการหาลูกค้าใหม่ แต่อย่าลืมความสำคัญของการรักษาลูกค้าเดิมเอาไว้ จงลงทุนกับประสบการณ์ลูกค้า ตั้งแต่คุณภาพสินค้าไปจนถึงการสนับสนุนและบริการที่มอบให้ สร้างระบบรับฟังความคิดเห็นลูกค้า แก้ปัญหาให้ไว และมอบประสบการณ์ที่รู้ใจเพื่อกระตุ้นการซื้อซ้ำและการบอกต่อในแง่บวก
- การดำเนินงานและการจัดการห่วงโซ่อุปทานที่ไม่มีประสิทธิภาพ: เมื่อธุรกิจขายตรงถึงผู้บริโภคขยายตัว การจัดการซัพพลายเชนจะยิ่งซับซ้อนขึ้น จงลงทุนในระบบและกระบวนการที่ถูกต้องเพื่อจัดการสต็อก การจัดการคำสั่งซื้อ และการจัดส่งอย่างมีประสิทธิภาพ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณมีโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมรับมือกับความต้องการที่เพิ่มขึ้น และพิจารณาร่วมมือกับผู้ให้บริการโลจิสติกส์บุคคลที่สาม (3PL) ที่เชื่อถือได้ เพื่อให้ห่วงโซ่อุปทานราบรื่นและรักษามาตรฐานการบริการให้อยู่ในระดับสูง
8 ตัวอย่างแบรนด์ขายตรงถึงผู้บริโภค
สำรวจ 8 แบรนด์ขายตรงถึงผู้บริโภค ที่กำลังสร้างการเปลี่ยนแปลงในตลาด
1. Allbirds
Allbirds ผู้บุกเบิกวงการการขายตรงถึงผู้บริโภค ได้สร้างฐานแฟนคลับบนโลกออนไลน์ที่เหนียวแน่นโดยใช้ Shopify ก่อนที่จะทดลองเปิดร้านแบบป๊อปอัป ร้านป๊อปอัปแห่งแรกนั้นได้เบิกทางไปสู่การขยายหน้าร้านระดับโลกที่มีกว่า 60 สาขาและยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ในฐานะแบรนด์การขายตรงถึงผู้บริโภคที่ขับเคลื่อนด้วยค่านิยม พวกเขาดึงดูดกลุ่มผู้ชมที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และ Allbirds ก็ปฏิบัติจริงตามที่พูดในเรื่องความยั่งยืนด้วย Travis Boyce รองประธานฝ่ายการตลาดของ Allbirds อธิบายว่าความยั่งยืนเป็นหัวใจหลักของธุรกิจมาโดยตลอด และแบรนด์ได้ทำทุกวิถีทางเพื่อชดเชยผลกระทบที่เกิดขึ้น
"สำหรับเรา มันคือสินค้าของเรา สำนักงานใหญ่ของเรา ร้านค้าของเรา แม้แต่การเดินทางมาทำงานของเรา" เขากล่าว "ทุกอย่างคือกิจกรรมที่ก่อให้เกิดคาร์บอน และเราต้องการวัดผลมัน... เราชดเชยมันทั้งหมด 100% เพื่อให้เรามีความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) และการชดเชยจะมีความหมายก็ต่อเมื่อคุณเริ่มลงมือลดมันด้วย ดังนั้นเราจึงมองหาวิธีลดผลกระทบจากรอยเท้าคาร์บอนในทุกแง่มุมของธุรกิจอยู่ตลอดเวลา"
2. Lovevery
ลูกค้ามักชอบความแปลกใหม่ของการได้รับสินค้าที่คัดสรรมาให้โดยเฉพาะ หรือความสะดวกสบายในการได้รับสินค้าที่ต้องซื้อเติมส่งตรงถึงบ้าน
การเสนอบริการสมาชิก เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสำหรับแบรนด์ขายตรงถึงผู้บริโภค ในการเพิ่มอัตราการรักษาลูกค้าและสร้างรายได้ประจำรายเดือน
Lovevery ซึ่งใช้ระบบของ Shopify เป็นแบรนด์ของเล่นเด็กแบบสมาชิกในโมเดลขายตรงถึงผู้บริโภค Roderick Morris ร่วมก่อตั้ง Lovevery เพื่อเสนอแพ็กเกจของเล่นแบบสมาชิกให้กับพ่อแม่ โดยของเล่นจะเปลี่ยนไปตามพัฒนาการของเด็กในแต่ละวัย
ผู้ค้าปลีกมักใช้โมเดลสมาชิกกับสินค้าใช้แล้วหมดไปที่ต้องซื้อเติม เช่น อาหาร เครื่องดื่ม หรือของใช้ส่วนตัว แต่ Lovevery มีแนวคิดที่ต่างออกไป พวกเขามุ่งหวังที่จะอยู่เคียงข้างเด็กๆ ในขณะที่เติบโต โดยจัดหาสิ่งที่จำเป็นตามพัฒนาการให้ Roderick อธิบายการทำงานของแนวคิดนี้ไว้อย่างน่าสนใจ
"เด็กมีพัฒนาการตลอดเวลา และความต้องการของพ่อแม่ก็เปลี่ยนตามไปด้วย" เขากล่าว "มันต่างจากการสมัครสมาชิกใบมีดโกน ยกตัวอย่างเช่น ผมได้รับมีดโกนแบบเดิมทุกๆ 6 สัปดาห์ และความต้องการพื้นฐานในการโกนหนวดของผมก็ไม่ได้เปลี่ยนไปในแต่ละเดือน แต่กับเด็กทารก สิ่งที่พวกเขาต้องการในอีก 3 เดือนข้างหน้าจะต่างจากตอนนี้อย่างสิ้นเชิง และจะต่างจากตอนเป็นเด็กวัยหัดเดินด้วย"
แนวทางที่พร้อมตอบโจทย์ความต้องการที่เปลี่ยนไปของพ่อแม่และเด็กนี้ ช่วยให้ Lovevery รักษาลูกค้าไว้ได้นานหลายปี
"ลูกค้าของเรามักอยู่กับเรานาน 3 ปีขึ้นไป" Roderick กล่าว "ชุดของเล่นยอดนิยมที่สุดคือ ชุดสำหรับเด็กแรกเกิด มีลูกค้ากว่า 20% เริ่มต้นที่จุดนี้ หลังจากเป็นสมาชิกครบ 1 ปี ลูกค้ากลุ่มนี้กว่า 70% ยังคงใช้งานอยู่ และหลังจากผ่านไป 2 ปี ก็ยังมีกว่า 50% ที่ยังคงสถานะสมาชิกอยู่"
3. Bombas
Bombas เริ่มต้นเส้นทางการขายตรงถึงผู้บริโภคบนแพลตฟอร์ม Shopify ด้วยการขายถุงเท้า ด้วยปณิธานอันแน่วแน่เพื่อสังคม ผู้ก่อตั้งบริษัทจึงตั้งมั่นว่าสำหรับถุงเท้าทุกคู่ที่ขายได้ พวกเขาจะบริจาคอีกคู่ให้กับผู้ที่ประสบปัญหาไร้บ้าน
ภาพโปรโมทของ Bombas เป็นภาพระยะใกล้ของมือที่กำลังยื่นถุงเท้า Bombas ให้อีกมือหนึ่ง ทางด้านซ้ายมีข้อความอธิบายโครงการบริจาคถุงเท้า 1 คู่ต่อการขายทุก 1 คู่ พร้อมพาดหัวว่า "แค่ซื้อ ก็สร้างความแตกต่าง"
ด้วยคติประจำใจที่ว่า "ความสบายคือทุกสิ่ง" ทำให้ Bombas สามารถสร้างฐานลูกค้าเฉพาะกลุ่มได้สำเร็จ และต่อมาก็ได้ขยายไลน์สินค้าไปสู่ผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่น ชุดชั้นใน เสื้อยืด และรองเท้าใส่ในบ้าน
4. CoverGirl
ในอดีต แบรนด์เครื่องสำอาง CoverGirl วางขายสินค้าผ่านห้างค้าปลีกรายใหญ่และตลาดออนไลน์เท่านั้น แต่ด้วยการใช้ประโยชน์จากพรีเซนเตอร์คนดังที่มีอยู่ พวกเขาจึงสามารถทดลองโมเดลการขายตรงถึงผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็ว และเมื่อร่วมมือกับ 1 Rockwell บริษัทสามารถเปิดตัวเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซได้ภายในเวลาเพียง 4 สัปดาห์
ภาพโปรโมทแบรนด์ CoverGirl ที่แสดงขวดเซรั่มมอยส์เจอไรเซอร์ไพรเมอร์ 4 ขวด พร้อมหัวข้อ "ใหม่ สกินแคร์สายคลีน"
CoverGirl ยังเป็นตัวอย่างของแบรนด์ขายตรงถึงผู้บริโภค ที่ยังคงรักษาความร่วมมือกับร้านค้าปลีกควบคู่ไปกับการขายให้ผู้บริโภคผ่านเว็บไซต์ของตัวเอง ในช่วงที่มีการปรับเปลี่ยนสู่โมเดลนี้ Ukonwa Ojo ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดได้กล่าวถึงการตัดสินใจนี้ว่า
"เรามองว่านี่คือพื้นที่แห่งการเรียนรู้ชั้นยอด ที่จะช่วยให้การค้าปลีกแบบดั้งเดิมทำงานได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ตอนนี้เราสามารถเดินไปหาพาร์ทเนอร์ร้านค้าปลีกพร้อมข้อมูลเชิงลึก แล้วบอกว่า 'นี่คือสินค้าที่ขายดีเป็นพิเศษนะ' หรือ 'นี่คือเทคโนโลยีบางอย่างที่คุณน่าจะนำไปใช้ในร้านเพื่อยกระดับประสบการณ์การช้อปปิ้ง'"
4. CoverGirl
ในอดีต แบรนด์เครื่องสำอาง CoverGirl วางขายสินค้าผ่านห้างค้าปลีกรายใหญ่และตลาดออนไลน์เท่านั้น แต่ด้วยการใช้ประโยชน์จากพรีเซนเตอร์คนดังที่มีอยู่ พวกเขาจึงสามารถทดลองโมเดลการขายตรงถึงผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็ว ด้วยความช่วยเหลือจาก 1 Rockwell บริษัทสามารถเปิดตัวเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซได้ภายในเวลาเพียง 4 สัปดาห์
CoverGirl ยังเป็นตัวอย่างของแบรนด์การขายตรงถึงผู้บริโภคที่ยังคงรักษาความร่วมมือกับร้านค้าปลีกควบคู่ไปกับการขายให้ผู้บริโภคผ่านเว็บไซต์ของตัวเอง ในช่วงที่มีการปรับเปลี่ยนสู่โมเดลนี้ Ukonwa Ojo ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดได้กล่าวถึงการตัดสินใจนี้ว่า
"เรามองว่านี่คือพื้นที่แห่งการเรียนรู้ชั้นยอด ที่จะช่วยให้การค้าปลีกแบบดั้งเดิมทำงานได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ตอนนี้เราสามารถเดินไปหาพาร์ทเนอร์ร้านค้าปลีกพร้อมข้อมูลเชิงลึก แล้วบอกว่า 'นี่คือสินค้าที่ขายดีเป็นพิเศษนะ' หรือ 'นี่คือเทคโนโลยีบางอย่างที่คุณน่าจะนำไปใช้ในร้านเพื่อยกระดับประสบการณ์การช้อปปิ้ง'"
5. Scentbird
Scentbird คือบริการน้ำหอมแบบสมัครสมาชิกที่ให้สมาชิกได้ทดลองน้ำหอมกลิ่นใหม่ๆ ในการจัดส่งแต่ละรอบ โดยมีน้ำหอมให้เลือกหลากหลายทั้งจากแบรนด์ดีไซเนอร์และแบรนด์เฉพาะกลุ่ม
ด้วยราคาเริ่มต้นเพียงประมาณ 490 บาทต่อเดือน นี่จึงเป็นวิธีที่ประหยัดสำหรับสมาชิกในการลองกลิ่นใหม่ๆ โดยไม่ต้องไปขอตัวอย่างที่ร้านหรือซื้อขวดใหญ่
Scentbird ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ชื่นชอบความเฉพาะตัว และบริการลูกค้าคุณภาพสูง โดยมีทีมผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำหอมคอยช่วยสมาชิกค้นหากลิ่นที่ใช่สำหรับทุกโอกาส Mariya Nurislamova ผู้ก่อตั้งอธิบายว่า Scentbird ช่วยให้ผู้บริโภคทดลองน้ำหอมได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องลงทุนก้อนใหญ่
"เราช่วยให้ผู้บริโภคได้ลอง 'เดต' กับน้ำหอมก่อนที่จะตกลงปลงใจ 'แต่งงาน' ด้วยการส่งน้ำหอมแบรนด์หรูในปริมาณที่ใช้ได้ 30 วันไปให้ถึงบ้าน" เธอกล่าว
6. The Honest Company
แบรนด์ขายตรงถึงผู้บริโภคที่ประสบความสำเร็จที่สุดบางรายเกิดขึ้นเพื่อแก้ปัญหาทั่วไปของลูกค้า The Honest Company ซึ่งก่อตั้งโดยนักแสดงฮอลลีวูด Jessica Alba จำหน่ายผลิตภัณฑ์ดูแลเด็กที่ปลอดภัย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และราคาสบายกระเป๋า
Alba เคยรู้สึกหงุดหงิดที่หาสินค้าที่ได้มาตรฐานตามที่เธอต้องการได้ยากมาก ด้วยพันธกิจที่ชัดเจนของแบรนด์และชุมชนบนโซเชียลมีเดียที่เข้มแข็ง ช่วยให้พวกเขาก้าวสู่สถานะ "ยูนิคอร์น" ได้ในปี 2015
7. Glossier

Glossier เป็นแบรนด์ความงามและสกินแคร์ที่ก่อตั้งโดย Emily Weiss ในปี 2014 โดยต่อยอดมาจากบล็อกความงามยอดนิยมของเธอ ที่ชื่อว่า Into The Gloss
พวกเขาได้สร้างคอมมูนิตี้ผู้อ่านที่เข้ามาแชร์ความคิดเห็นเกี่ยวกับสินค้าความงาม จากนั้นบริษัทก็นำฟีดแบ็กนี้มาใช้พัฒนาสินค้าและบรรจุภัณฑ์ การดึงลูกค้าเข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ทำให้ Glossier สร้างความรู้สึกให้ผู้คนเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์ ซึ่งช่วยให้บริษัทเติบโตได้อย่างรวดเร็ว
8. Harry's
เมื่อ Harry’s แบรนด์มีดโกนแบบสมาชิกเปิดตัวในปี 2013 พวกเขากระโดดเข้าสู่ตลาดที่แออัดและถูกผูกขาดอย่างหนัก โดยมี Gillette ครองส่วนแบ่งตลาดอยู่ถึง 66.3%
แต่ Harry’s เข้าใจและดึงพลังของการตลาดแบบบอกต่อมาใช้ Jeff Raider ผู้ร่วมก่อตั้งและ CEO อธิบายว่า การบอกต่อที่น่าเชื่อถือนี่แหละคือแรงขับเคลื่อนสำคัญของแบรนด์
"ไอเดียแคมเปญของเราสร้างขึ้นจากความเชื่อที่ว่า วิธีที่ทรงพลังและได้ผลที่สุดในการแนะนำบริษัทใหม่ให้คนรู้จัก คือผ่านการบอกต่อที่น่าเชื่อถือ" เขากล่าว "ดังนั้น เราจึงมุ่งเน้นสร้างแคมเปญที่ช่วยให้ผู้คนกระจายข่าวบอกต่อเพื่อนๆ ของพวกเขาได้ง่ายขึ้น"
ทิปส์ขายตรงถึงผู้บริโภค
ก่อนที่คุณจะเริ่มต้นการขายตรงถึงผู้บริโภค สิ่งสำคัญคือต้องพิจารณาว่านี่คือแนวทางที่ใช่สำหรับแบรนด์ของคุณหรือไม่ ลองพิจารณา 7 ข้อนี้ก่อนตัดสินใจลุยกลยุทธ์นี้
1. สร้างชื่อเสียง
แม้การขายตรงถึงผู้บริโภคจะมีข้อดี แต่ผู้ค้าปลีกออนไลน์ต้องตระหนักว่าชื่อเสียงคือทุกสิ่ง บริษัทสินค้าอุปโภคบริโภค (CPG) แบบดั้งเดิมอาจจะสบายตัวที่มี Marketplace และห้างค้าปลีกยักษ์ใหญ่คอยจัดการประสบการณ์การซื้อให้ Paul Wyber ผู้ก่อตั้ง Gerry’s อธิบายว่าแบรนด์การขายตรงถึงผู้บริโภคต้องจัดการกับประสบการณ์ลูกค้าอย่างไร:
"แบรนด์ต้องมั่นใจว่าลูกค้าได้รับประสบการณ์การซื้อที่ดีที่สุดตั้งแต่ต้นจนจบ ซึ่งรวมถึงทุกอย่างตั้งแต่หน้าเว็บไซต์ไปจนถึงสินค้าที่ลูกค้าได้รับทางไปรษณีย์ ต้องไม่มีปัญหา เพราะชื่อเสียงแบรนด์ของคุณแขวนอยู่บนเส้นด้ายตลอดกระบวนการนี้"
"แบรนด์จำเป็นต้องมีกระบวนการรองรับเมื่อประสบการณ์ของลูกค้าไม่เป็นไปตามความคาดหวัง หรือเมื่อเกิดความผิดพลาด เพราะเรื่องพวกนี้เกิดขึ้นได้และจะเกิดขึ้นแน่นอน"
2. คำนึงถึงต้นทุนการจัดส่ง (Fulfillment)
แทนที่จะกระจายสินค้าทีละมากๆ เหมือนระบบขายส่ง การขายตรงถึงผู้บริโภคต้องอาศัยการจัดส่งรายชิ้นถึงมือลูกค้า (Last-mile delivery) คุณต้องเลือกว่าจะจัดการออเดอร์ออนไลน์เอง หรือจับมือกับผู้ค้าปลีกให้ช่วยจัดการ ซึ่งอย่างหลังมักเป็นทางเลือกที่ดีหากคุณกำลังทดลองตลาด
แบรนด์การขายตรงถึงผู้บริโภคยังต้องพิจารณาเรื่อง
- การจ้างบริษัทภายนอกดูแลเรื่องการขนส่งและโลจิสติกส์
- การออกแบบและจัดหาบรรจุภัณฑ์สำหรับส่งพัสดุ
- ต้นทุนค่าขนส่ง และตัดสินใจว่าจะส่งฟรีหรือไม่
- วิธีจัดการการคืนสินค้า
เรื่องน่ากังวลใหญ่สำหรับบริษัทดิจิทัลคือการคืนสินค้า ในปี 2024 สินค้าค้าปลีกที่ถูกส่งคืนในสหรัฐฯ มีมูลค่ารวมประมาณ 29 ล้านล้านบาท ซึ่งคิดเป็นอัตราคืนสินค้าถึง 16.9%
อัตราการคืนสินค้าของร้านออนไลน์มักจะสูงกว่าร้านที่มีหน้าร้านจริง เพื่อจัดการเรื่องนี้ให้ดีขึ้น บริษัทอาจต้องเชื่อมต่อระบบจัดการการคืนสินค้าเข้ากับระบบวางแผนทรัพยากรองค์กร (ERP) พาร์ทเนอร์โลจิสติกส์ หรือระบบจัดการสต็อก
3. สร้างคอมมูนิตี้
โซเชียลมีเดียถือเป็นช่องทางหลักในการหาลูกค้าใหม่สำหรับการขายตรงถึงผู้บริโภค ชุมชนออนไลน์คือกลุ่มคนที่มีความสนใจเฉพาะด้านร่วมกัน ไม่ใช่แค่กลุ่มย่อยในเว็บบอร์ดเท่านั้นที่เป็นแหล่งรวมตัว แต่แบรนด์ต่างๆ กำลังสร้างคอมมูนิตี้ของตัวเองเพื่อเพิ่มความภักดีต่อแบรนด์
คอมมูนิตี้ช่วยเพิ่มอัตราการรักษาลูกค้า สร้างการรับรู้แบรนด์ และช่วยลดต้นทุนการบริการลูกค้า
จึงไม่น่าแปลกใจที่แบรนด์ระดับโลกจะสร้างช่องทางใหม่ๆ เช่น ศูนย์รวมคอมมูนิตี้ เพื่อให้ลูกค้ามีปฏิสัมพันธ์ด้วย Kimberly Smith สมาชิกคณะกรรมการ National Retail Federation กล่าวถึงพลังของการสร้างคอมมูนิตี้ว่า สิ่งนี้กำลังเข้ามาแทนที่กลยุทธ์การตลาดแบบเดิม
"บางแบรนด์ยังไม่ต้องเริ่มทำการตลาดดิจิทัลหรือยิงโฆษณาด้วยซ้ำ เพราะคอมมูนิตี้ของพวกเขาแข็งแกร่งมาก" เธอกล่าว "พวกเขาทุ่มเทเวลาสร้างมันขึ้นมา จนมันกลายเป็นตัวขับเคลื่อนรายได้หลักของการขายตรงถึงผู้บริโภค"
ตัวอย่างเช่น Curology แบรนด์สกินแคร์แบบขายตรงถึงผู้บริโภค มีกลุ่มลับบน Facebook ที่มีสมาชิกราว 16,000 คน โดยแบรนด์กระตุ้นให้สมาชิกแชร์ผลลัพธ์ก่อน-หลังใช้สินค้า และแบ่งปันเคล็ดลับการดูแลผิวกัน
Curology ยังแบ่งปัน UGC จากชุมชนบนบัญชี Instagram ของพวกเขาให้กับผู้ติดตาม 452,000 คน
4. เก็บรวบรวมข้อมูลลูกค้าอย่างมีจริยธรรมเพื่อสร้างความเชื่อมั่น
ลูกค้ากังวลมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าแบรนด์จะใช้และจัดการข้อมูลของพวกเขาอย่างไร เพื่อให้ได้ข้อมูลที่มีค่า แบรนด์ขายตรงถึงผู้บริโภคต้องเคารพขอบเขตของลูกค้า ซึ่งอาจหมายถึง
- ทำให้ผู้ซื้อเลือกปฏิเสธคุกกี้ได้ง่าย
- ให้ผู้ซื้อกดยกเลิกรับอีเมลแคมเปญได้ง่ายๆ
- อนุญาตให้ลูกค้าชำระเงินได้ในฐานะแขก
- ขอความยินยอมจากลูกค้าก่อน
จงชัดเจนว่าจะนำข้อมูลของลูกค้าไปใช้อย่างไร เมื่อลูกค้าเข้าใจว่าข้อมูลของพวกเขาจะช่วยปรับปรุงประสบการณ์ช้อปปิ้งได้อย่างไร ผ่านคำแนะนำสินค้าที่ปรับแต่งมาให้เหมาะกับลูกค้า ประสบการณ์แบบหลายช่องทางที่ลื่นไหล หรือสิทธิประโยชน์พิเศษ พวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะให้ข้อมูลด้วยความเต็มใจมากขึ้น
5. ลงทุนในช่องทางเฉพาะกลุ่มเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย
ในขณะที่แพลตฟอร์มกระแสหลักอย่าง Instagram เริ่มแออัด แบรนด์ขายตรงถึงผู้บริโภคสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายผ่านช่องทางดิจิทัลใหม่ๆ ที่เฉพาะกลุ่มแทนได้
Doe Lashes แบรนด์ขนตาปลอมที่ไม่ทดลองกับสัตว์ แชร์คอนเทนต์บน Discord ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มแชทกลุ่มยอดนิยมในหมู่เกมเมอร์ ที่ดึงดูดผู้บริโภคในช่วงอายุเดียวกับกลุ่มเป้าหมายของ Doe และในเกมตกแต่งอพาร์ตเมนต์อย่าง Design Home ผู้เล่นยังสามารถซื้อสินค้าเวอร์ชันจริงของของแต่งบ้านในเกมได้ด้วย
6. สร้างความหลากหลายให้สินค้า
เพื่อรักษาความสนใจของนักช้อปนอกเหนือจากการซื้อครั้งแรก แบรนด์ขายตรงถึงผู้บริโภคจำเป็นต้องขยายไลน์สินค้าให้มากกว่าสินค้าชูโรงตัวแรก ตัวอย่างเช่น แบรนด์รองเท้า Allbirds ที่หันมาขายเสื้อผ้า และบริษัทมีดโกนสำหรับผู้ชาย Harry’s ที่เปิดตัวผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย
สิ่งสำคัญคือต้องระวังไม่ให้ลูกค้ารู้สึกท่วมท้นจนเลือกไม่ถูก หรือเกิดภาวะ "Analysis Paralysis" (คิดเยอะจนไม่ได้ตัดสินใจ)
Kate MacCabe รองประธานฝ่ายผลิตภัณฑ์ของ Brooklinen กล่าวว่า บริษัทเครื่องนอนได้รับประโยชน์จากการจำกัดตัวเลือกการปรับแต่งสินค้าของผู้บริโภค ซึ่งช่วยให้เส้นทางการซื้อสินค้ารวดเร็วและคล่องตัวขึ้น
7. เลือกชุดเครื่องมือเทคโนโลยีที่ใช่
การเลือกแพลตฟอร์มการค้าที่ถูกต้องส่งผลต่อกลยุทธ์การขายตรงถึงผู้บริโภคของคุณ โดยเฉพาะเมื่อธุรกิจขยายตัว แพลตฟอร์มที่สร้างมาเพื่อรวมช่องทางการขาย จะช่วยลดความซับซ้อนในการทำงาน โดยรวบรวมทุกสิ่งที่คุณต้องใช้ในการขายผ่านช่องทางต่างๆ ภูมิภาคต่างๆ หรือแม้แต่โมเดลธุรกิจที่ต่างกันอย่าง DTC และ B2B ไว้ด้วยกัน
Shopify เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในฐานะผู้นำตลาดด้านการขายตรงถึงผู้บริโภค ด้วยอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่าย ระบบนิเวศแอปที่ครอบคลุม และชื่อเสียงในการช่วยแบรนด์เปิดตัวและขยายธุรกิจ ทำให้ Shopify เป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ สำหรับธุรกิจที่เน้นผู้บริโภคจำนวนมาก
Shopify ช่วยให้คุณเข้าใจทั้งลูกค้าปลีกและลูกค้าส่งได้ดีขึ้นด้วยการเก็บข้อมูลทั้งหมดไว้ในที่เดียว คุณสามารถดูพฤติกรรมการช้อป สินค้าขายดี และวิธีที่ลูกค้ามีปฏิสัมพันธ์กับธุรกิจของคุณในทุกช่องทางการขาย ข้อมูลนี้จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ฉลาดขึ้น ทั้งเรื่องการตลาด การบริการลูกค้า และการสร้างสินค้าใหม่
ชุดฟีเจอร์และการเชื่อมต่อระบบของเราที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ พร้อมปรับตัวให้เข้ากับตลาด ช่องทางการขาย และกลุ่มลูกค้าที่แตกต่างกัน
- Shop Campaigns: Shop Campaigns ขับเคลื่อนการเติบโตของลูกค้าใหม่ถึง 24% สำหรับแบรนด์ ช่วยให้คุณหาลูกค้าใหม่ผ่านแอป Shop (ผู้ใช้ 150 ล้านคน) และแพลตฟอร์มอย่าง Meta และ Google คุณจ่ายเฉพาะเมื่อมีคนซื้อบางอย่าง แพลตฟอร์มจัดการงานสร้างสรรค์ การกำหนดเป้าหมายผู้ชม และที่ที่โฆษณาของคุณปรากฏ เพื่อให้คุณเปิดแคมเปญได้อย่างรวดเร็ว
- Shopify Audiences: Audiences ใช้ข้อมูลการซื้อจากทั่วแพลตฟอร์ม Shopify เพื่อช่วยให้คุณหาลูกค้าที่มีแนวโน้มจะซื้อจากร้านของคุณมากที่สุด ทำงานกับแพลตฟอร์มหลักอย่าง Meta, Google และ TikTok และสามารถลดต้นทุนการได้มาซึ่งลูกค้าได้ถึง 50% ในขณะที่เพิ่มความสำเร็จของโฆษณาลูกค้าซ้ำเป็นสองเท่า
- Segmentation: Segmentation ช่วยให้คุณจัดเรียงลูกค้าเป็นกลุ่มต่างๆ ตามวิธีการซื้อ ที่อยู่ และสิ่งที่พวกเขาชอบซื้อ กลุ่มจะอัปเดตเองเมื่อใดก็ตามที่ลูกค้าทำการเปลี่ยนแปลง หรือคนใหม่มาซื้อที่ร้านของคุณ จากนั้นคุณสามารถใช้กลุ่มเหล่านี้เพื่อส่งข้อเสนอพิเศษและอีเมลให้กับลูกค้าที่เหมาะสมในเวลาที่เหมาะสม
- Managed Markets: Shopify Managed Markets ทำให้การขายในต่างประเทศง่ายขึ้นโดยจัดการส่วนที่ซับซ้อนทั้งหมดของการขายทั่วโลกให้คุณ จัดการทุกอย่างตั้งแต่อัตราการจัดส่งและวิธีการชำระเงินในท้องถิ่นไปจนถึงภาษีและเอกสารศุลกากร เพื่อให้คุณสามารถขายให้กับลูกค้าในกว่า 150 ประเทศโดยไม่มีความยุ่งยาก
ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มพอร์ทัล B2B หรือเปิดตัวสายผลิตภัณฑ์ใหม่ Shopify ให้คุณทำทุกอย่างภายในแพลตฟอร์มเดียว ที่ TCO โดยรวมต่ำกว่า 22% โดยเฉลี่ย
คุณไม่จำเป็นต้องยึดติดกับการขายตรงถึงผู้บริโภคเพียงอย่างเดียว
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการขายสินค้าให้กับลูกค้าโดยตรงนั้นมีข้อดีหลายอย่าง คุณไม่ต้องเสียส่วนแบ่งก้อนโตให้กับห้างค้าปลีกยักษ์ใหญ่ หรือยอมเฉือนกำไรเพื่อขายให้ผู้ค้าส่ง แถมยังได้รับความพึงพอใจจากลูกค้าที่สูงขึ้นและดึงลูกค้าเข้ามาที่เว็บไซต์ของคุณได้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม อย่าเพิ่งคิดว่าทางเลือกของคุณมีแค่ขายตรงถึงผู้บริโภค หรือไม่ทำเลย แบรนด์ระดับตำนานอย่าง Nike ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าคุณสามารถก้าวเข้าสู่โลกของการขายตรงถึงผู้บริโภคได้ โดยไม่ต้องทิ้งพาร์ทเนอร์ร้านค้าปลีก แบรนด์จำนวนมากกำลังหันมาใช้แนวทาง "การขายตรงถึงผู้บริโภคมาก่อน" แต่ไม่ใช่ "การขายตรงถึงผู้บริโภคเท่านั้น"
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการขายตรงถึงผู้บริโภค
อีคอมเมิร์ซแบบการขายตรงถึงผู้บริโภคคืออะไร
อีคอมเมิร์ซแบบการขายตรงถึงผู้บริโภค (DTC) คือโมเดลธุรกิจที่บริษัทขายสินค้าหรือบริการให้กับลูกค้าโดยตรง โดยข้ามช่องทางค้าปลีกแบบดั้งเดิมอย่างร้านค้าที่มีหน้าร้านจริงหรือแพลตฟอร์มของบุคคลที่สาม วิธีนี้ช่วยให้ธุรกิจสามารถควบคุมแบรนด์ ข้อมูลลูกค้า และการทำการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
การขายตรงถึงผู้บริโภค และ อีคอมเมิร์ซ คือสิ่งเดียวกันหรือไม่
การขายตรงถึงผู้บริโภค และอีคอมเมิร์ซไม่ใช่สิ่งเดียวกัน แม้จะมีความเกี่ยวข้องกัน อีคอมเมิร์ซหมายถึงภาพรวมกว้างๆ ของการซื้อขายสินค้าหรือบริการผ่านออนไลน์ ในขณะที่ การขายตรงถึงผู้บริโภค เป็นโมเดลย่อยของอีคอมเมิร์ซที่เน้นการขายสินค้าผ่านออนไลน์โดยตรงจากผู้ผลิตหรือแบรนด์ไปยังผู้บริโภค
Amazon ถือเป็นธุรกิจการขายตรงถึงผู้บริโภคหรือไม่
Amazon ไม่ถือว่าเป็นบริษัทขายตรงถึงผู้บริโภค เนื่องจากโดยพื้นฐานแล้วเป็นมาร์เก็ตเพลซ หรือตลาดออนไลน์ ที่เชื่อมต่อผู้ซื้อเข้ากับผู้ขายที่หลากหลาย ซึ่งรวมถึงผู้ค้าปลีกดั้งเดิม ธุรกิจขนาดเล็ก และแบรนด์ การขายตรงถึงผู้บริโภค โดย Amazon ทำหน้าที่เป็นตัวกลางบุคคลที่สาม มากกว่าที่จะขายสินค้าโดยตรงจากสต็อกของตัวเองสู่ผู้บริโภคเพียงอย่างเดียว
DTC กับ D2C ต่างกันอย่างไร
ไม่มีความแตกต่างระหว่าง DTC และ D2C ทั้งสองคำเป็นเพียงตัวย่อที่เขียนต่างกันแต่หมายถึงแนวคิดเดียวกัน นั่นคือ Direct-to-Consumer หรือการขายตรงถึงผู้บริโภค


