การจัดส่งฟรีไม่ใช่แค่สิทธิพิเศษ แต่มันคือตัวกระตุ้นให้เกิดการซื้อ อันที่จริง ข้อมูลจาก FedEx ระบุว่า 75% ของนักช้อปให้ความสำคัญกับบริการจัดส่งฟรีมากกว่าการจัดส่งที่รวดเร็ว (ถึงแม้ว่าพวกเขาจะยินดีรับทั้งสองอย่างหากมีข้อเสนอก็ตาม)
ค่าจัดส่งเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้ลูกค้าทิ้งตะกร้าสินค้า โดยภาพรวมแล้ว อัตราการทิ้งตะกร้าสินค้านั้นสูงถึงประมาณ 70%
มีเหตุผลที่ว่าทำไมลูกค้าถึงชอบบริการจัดส่งฟรีมากเสียจนยอมซื้อสินค้าเพิ่มเพื่อหลีกเลี่ยงค่าจัดส่ง มาเรียนรู้จิตวิทยาเบื้องหลังกลยุทธ์การจัดส่งฟรีกัน เพื่อให้คุณรู้ว่าควรใช้เมื่อไหร่และใช้อย่างไรให้ได้กำไร
จัดส่งฟรีคืออะไร
ผู้ค้าปลีกออนไลน์ใช้บริการจัดส่งฟรีเพื่อรับภาระค่าจัดส่งแทนลูกค้า ลดอัตราการทิ้งตะกร้าสินค้า และเพิ่มอัตราคอนเวอร์ชัน จะไม่มีการคิดค่าจัดส่งเพิ่มในคำสั่งซื้อของลูกค้าเมื่อชำระเงิน นักช้อปออนไลน์จะทราบดีว่า ราคาที่เห็นบนหน้าสินค้าคือยอดที่ต้องจ่ายจริง บวกภาษีที่เกี่ยวข้อง
ทำไมต้องจัดส่งฟรี
คำถามยอดฮิตที่ว่าบริการจัดส่งฟรีช่วยเพิ่มยอดขายได้จริงหรือ คำตอบที่ดีที่สุดอยู่ที่ข้อมูลเหล่านี้
บริการจัดส่งฟรีช่วยเพิ่มยอดขาย
ผู้บริโภคกว่า 8 ใน 10 คนระบุว่าบริการจัดส่งฟรีคือสิ่งที่พวกเขาให้ความสำคัญสูงสุดเมื่อซื้อสินค้าออนไลน์ นักช้อปเชื่อว่าพวกเขาได้รับข้อเสนอที่คุ้มค่ากว่าเมื่อไม่ต้องจ่ายค่าจัดส่ง และยอมที่จะเพิ่มสินค้าลงตะกร้าเพื่อให้ถึงเกณฑ์ที่กำหนด นอกจากนี้ การเสนอบริการจัดส่งฟรีช่วยสร้างความไว้ใจให้กับลูกค้าของคุณได้อีกด้วย
บริการจัดส่งฟรีช่วยเพิ่มมูลค่าการสั่งซื้อเฉลี่ย
การกำหนดเกณฑ์ขั้นต่ำเพื่อส่งฟรีสามารถช่วยดันยอดสั่งซื้อเฉลี่ยให้สูงขึ้นได้ ตัวอย่างเช่น หากลูกค้ามียอดซื้อเฉลี่ยอยู่ที่ 350 บาท และคุณตั้งเกณฑ์ส่งฟรีไว้ที่ 500 บาท คุณก็จะสามารถเพิ่มยอดการใช้จ่ายเฉลี่ยของลูกค้าให้สูงขึ้นได้
นักช้อปออนไลน์มากถึง 80% ยินดีที่จะซื้อสินค้าให้ครบตามยอดขั้นต่ำที่กำหนดเพื่อหลีกเลี่ยงค่าจัดส่ง ลูกค้าจำนวนมากเลือกที่จะเพิ่มสินค้ามูลค่า 100 บาท ลงในตะกร้า แทนที่จะยอมจ่ายค่าส่งราคา 79 บาท แม้ว่าจะต้องจ่ายเงินมากขึ้น แต่พวกเขารู้สึกว่าได้รับความคุ้มค่ามากกว่าจากการได้สินค้าเพิ่มมา ดีกว่าต้องเสียเงินไปเปล่าๆ กับค่าขนส่ง
บริการจัดส่งฟรีช่วยลดการทิ้งตะกร้าสินค้า
ในปี 2025 นักช้อปออนไลน์ 39% ระบุว่าค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ซึ่งรวมถึงค่าจัดส่ง เป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาทิ้งตะกร้าสินค้า หากลูกค้าที่มีแนวโน้มจะซื้อกดเข้ามาที่หน้าชำระเงินแล้วเจอค่าจัดส่ง มีความเป็นไปได้สูงที่พวกเขาจะกดออกจากเว็บไซต์ของคุณทันที อย่างไรก็ตาม หากคุณมีบริการจัดส่งฟรี นักช้อปก็มีแนวโน้มที่จะสั่งซื้อมากกว่า
รูปแบบของการจัดส่งฟรี
คุณสามารถเสนอบริการจัดส่งฟรีให้กับลูกค้าของคุณได้ เช่น
การจัดส่งฟรีทั่วทั้งเว็บไซต์
ด้วยวิธีนี้ คุณจะให้สิทธิ์ส่งฟรีกับลูกค้าทุกคน ไม่ว่าจะเป็นการสั่งซื้อชิ้นเล็กๆ ครั้งแรก หรือลูกค้าเก่าที่กลับมาซื้อซ้ำ วิธีนี้ช่วยเพิ่มโอกาสในการปิดการขายและลดปัญหาลูกค้าเปลี่ยนใจทิ้งตะกร้าสินค้าได้ แต่ต้องไม่ลืมว่าการจัดส่งฟรีไม่ได้แปลว่าไม่มีต้นทุน จะต้องมีใครสักคนรับภาระค่าส่งนี้ ซึ่งขึ้นอยู่กับสินค้าที่คุณขาย การแบกรับค่าส่งให้ลูกค้าทุกคนอาจทำให้กำไรของคุณลดลงอย่างมากได้
การจัดส่งฟรีแบบมีเงื่อนไข
ตัวอย่างที่นิยมที่สุดคือการกำหนดยอดซื้อขั้นต่ำ กลยุทธ์นี้จะจูงใจให้ลูกค้าซื้อของเพิ่มขึ้นเพื่อที่จะได้ไม่ต้องเสียค่าส่ง ส่วนเงื่อนไขอื่นๆ ก็เช่น การจัดส่งฟรีให้เฉพาะลูกค้าที่อยู่ในระยะทางที่กำหนด หรือให้สิทธิ์เฉพาะลูกค้าบางกลุ่ม (เช่น ลูกค้าใหม่ หรือสมาชิกของร้านเท่านั้น)
การจัดส่งฟรีสำหรับระบบสมาชิก
รายงานจากปี 2024 พบว่าสิทธิประโยชน์สำคัญที่สุดที่ดึงดูดให้คนยอมสมัครระบบสมาชิกของร้านค้า ก็คือสิทธิ์ในการจัดส่งฟรี เพียงแค่เหตุผลข้อนี้ข้อเดียวก็สามารถช่วยรักษาฐานลูกค้าเดิม และช่วยเพิ่มยอดขายจากลูกค้าที่คุณมีอยู่ได้แล้ว
วิธีบริหารจัดการต้นทุนเมื่อมีบริการจัดส่งฟรี
การจัดส่งฟรีแบบเหมาเข่งทุกออเดอร์อาจไม่เหมาะกับธุรกิจของคุณเสมอไป เพราะคงไม่มีประโยชน์อะไรหากการจัดส่งฟรีดึงดูดลูกค้าได้จริงแต่ทำให้ร้านต้องขาดทุน นี่คือ 8 วิธีที่จะช่วยให้คุณจัดการบริการจัดส่งฟรี พร้อมทั้งสร้างผลกำไรให้ได้มากที่สุด
- คำนวณอัตรากำไร
- กำหนดยอดซื้อขั้นต่ำ
- ให้สิทธิ์ส่งฟรีเฉพาะสินค้าบางรายการ
- เสนอส่งฟรีเฉพาะในระยะทางที่กำหนด
- เจรจาขอส่วนลดจากบริษัทขนส่ง
- ให้สิทธิ์ส่งฟรีเมื่อลูกค้าทำตามเงื่อนไขที่กำหนด
- จัดโปรโมชั่นส่งฟรีเป็นช่วงเวลา
- เสนอทางเลือกให้มารับสินค้าเองที่ร้าน
1. คำนวณอัตรากำไร
วิธีที่ง่ายที่สุดวิธีหนึ่งในการเปิดให้ส่งฟรี คือการบวกค่าขนส่งเข้าไปในราคาสินค้าเลย วิธีนี้จะทำให้ต้นทุนค่าส่งถูกรวมอยู่ในสินค้าทุกชิ้นที่คุณขายเรียบร้อยแล้ว
เพื่อให้วิธีนี้ได้ผล คุณต้องคำนวณอัตรากำไรให้ดีเพื่อให้มั่นใจว่าการจัดส่งฟรีจะไม่ไปกินส่วนกำไรของคุณ อย่าลืมนำต้นทุนสินค้าและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอื่นๆ มารวมด้วย ไม่ว่าจะเป็นค่าดูแลร้านค้าออนไลน์ ค่าเช่าโกดัง ค่าการตลาด และต้นทุนจำเป็นอื่นๆ ที่ทำให้ธุรกิจเดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งคุณสามารถใช้เครื่องมือคำนวณอัตรากำไรของ Shopify ช่วยคำนวณได้
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าสินค้ามีต้นทุนการผลิต 20 บาท แล้วคุณตั้งราคาขายไว้ที่ 30 บาท เท่ากับว่าคุณบวกกำไรเพิ่มไป 50%
คำนวณอัตรากำไรของคุณด้วยเครื่องคำนวณฟรีของ Shopify
ซึ่งหมายความว่าคุณจะได้กำไร 10 บาทต่อสินค้าหนึ่งชิ้น โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 33.33% หากต้องการเปิดให้ส่งฟรี คุณจำเป็นต้องยอมลดกำไรลงเล็กน้อย หรือไม่ก็ต้องปรับราคาสินค้าขึ้นเพื่อรวมค่าขนส่งเข้าไป หรืออาจจะเลือกทำทั้งสองอย่างควบคู่กันไปก็ได้
ต่อให้สินค้าของคุณจะมีราคาแพงกว่าคู่แข่งเล็กน้อย แต่ถ้ามีบริการจัดส่งฟรี คุณก็ย่อมได้เปรียบกว่า
2. กำหนดยอดซื้อขั้นต่ำ
อีกทางเลือกหนึ่งคือการให้สิทธิ์ส่งฟรีเมื่อลูกค้ามียอดใช้จ่ายถึงยอดที่กำหนด วิธีนี้ได้ผลดีอย่างเหลือเชื่อ เพราะผู้บริโภคกว่า 80% ยอมที่จะจ่ายเงินให้ถึงยอดขั้นต่ำเพื่อให้ได้รับสิทธิ์ส่งฟรี
หลายแบรนด์ใช้กลยุทธ์นี้ เช่น SKIMS ซึ่งเสนอการจัดส่งฟรีในประเทศสำหรับคำสั่งซื้อมากกว่า 75 ดอลลาร์บนเว็บไซต์ของตน
SKIMS บอกยอดซื้อขั้นต่ำสำหรับการจัดส่งฟรี
วิธีการคำนวณเกณฑ์ยอดสั่งซื้อเพื่อส่งฟรี
- คำนวณยอดสั่งซื้อเฉลี่ย โดยไม่รวมค่าขนส่ง (ยกตัวอย่างเช่น 400 บาท)
- หาค่าเฉลี่ยต้นทุนการจัดส่ง (ยกตัวอย่างเช่น 80 บาท)
- คำนวณอัตรากำไรขั้นต้น โดยเอายอดขายรวมลบด้วยต้นทุนการผลิต แล้วหารผลลัพธ์นั้นด้วยยอดขายรวม (เช่น ถ้ายอดขายรวมคือ 1,000,000 บาท และต้นทุนคือ 600,000 บาท สูตรจะเป็น (1,000,000 - 600,000) / 1,000,000 = อัตรากำไรขั้นต้น 40%)
- ลองตั้งยอดสั่งซื้อขั้นต่ำที่ต้องการขึ้นมา (เช่น 450 บาท)
จากนั้น นำยอดสั่งซื้อขั้นต่ำที่ตั้งไว้มาทดสอบดู
- หาส่วนต่างระหว่างยอดสั่งซื้อขั้นต่ำที่ตั้งไว้กับยอดสั่งซื้อเฉลี่ย (450 - 400 = 50 บาท)
- นำส่วนต่างมาคูณกับอัตรากำไรขั้นต้น (50.00 x 0.4 = 20 บาท)
- นำผลลัพธ์ที่ได้ไปลบออกจากค่าเฉลี่ยต้นทุนการจัดส่ง (80 - 20 = 60 บาท)
ในตัวอย่างนี้ คุณจะต้องจ่ายค่าส่งเองถึง 60 บาทสำหรับออเดอร์ที่เข้าเงื่อนไข ซึ่งถือว่ากระทบกำไรสุทธิมากเกินไป ดังนั้นให้ลองปรับยอดสั่งซื้อขั้นต่ำใหม่ โดยใช้ 550 บาทเป็นเกณฑ์
- ยอดสั่งซื้อขั้นต่ำที่ตั้งใหม่ ลบ ยอดสั่งซื้อเฉลี่ย (550 - 400 = 150 บาท)
- นำส่วนต่างมาคูณกับอัตรากำไรขั้นต้น (150 x 0.4 = 60 บาท)
- นำผลลัพธ์ที่ได้ไปลบออกจากค่าเฉลี่ยต้นทุนการจัดส่ง (80 - 60 = 20 บาท)
การขยับเกณฑ์ขั้นต่ำขึ้นอีก 100 บาท คุณยังคงมอบความคุ้มค่าให้ลูกค้าได้ ในขณะที่ลดต้นทุนค่าส่งที่คุณต้องแบกรับเหลือเพียง 20 บาทต่อออเดอร์เท่านั้น
โดยทั่วไปแล้ว กณฑ์การจัดส่งฟรีควรตั้งให้สูงกว่าค่ามัธยฐานของยอดสั่งซื้อ หรือสูงกว่ายอดสั่งซื้อเฉลี่ยเพียงเล็กน้อย เพื่อสะกิดใจให้ลูกค้าหยิบของใส่ตะกร้าเพิ่ม ซึ่งพวกเขาอาจจะไม่ทำแบบนั้นหากไม่มีเงื่อนไขนี้
3. ให้สิทธิ์ส่งฟรีเฉพาะสินค้าบางรายการ
ค่าขนส่งสำหรับสินค้าชิ้นใหญ่อาจจะสูงเอาเรื่อง จนถึงจุดที่การเสนอส่งฟรีอาจทำให้ไม่คุ้มทุนทางการเงิน ตัวอย่างเช่น ร้านเฟอร์นิเจอร์คงยากที่จะแบกรับภาระค่าส่งฟรีให้กับลูกค้าทุกคนไหว
อย่างไรก็ตาม หากคุณขายสินค้าหลายประเภทปนกัน คุณอาจเลือกให้ส่งฟรีเฉพาะสินค้าชิ้นเล็กๆ ได้ เช่น ร้านเฟอร์นิเจอร์ร้านเดิม อาจจะเลือกส่งฟรีให้เฉพาะสินค้าจำพวกชุดเครื่องนอน หรือโต๊ะตัวเล็กๆ แทน
4. เสนอส่งฟรีในระยะทางที่กำหนด
หากการส่งของไปพื้นที่ไกลๆ มีต้นทุนสูงเกินไป ให้ลองพิจารณาเสนอส่งฟรีเฉพาะในบางจังหวัด หรือบางภูมิภาค การจำกัดพื้นที่ส่งฟรีเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยดึงดูดลูกค้ากลุ่มใหญ่ได้ แม้ว่าคุณจะไม่สามารถให้สิทธิ์นี้กับทุกคนก็ตาม
การจัดส่งในพื้นที่ใกล้เคียง ก็เป็นอีกทางเลือกที่รวดเร็วและช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าได้ เพราะคนที่ซื้อของจากร้านในท้องถิ่นมักมองหาความใส่ใจที่เป็นกันเอง และการไปส่งของให้ถึงมือโดยตรงก็เป็นวิธีที่ดีเยี่ยมในการตอบโจทย์นี้
หรืออีกวิธีหนึ่งคือ ลองกระจายสินค้าไปเก็บสต็อกไว้ในพื้นที่ที่มีข้อมูลว่าลูกค้าสั่งซื้อเข้ามาเยอะ หากคุณเก็บสินค้าไว้ใกล้ลูกค้ามากขึ้น คุณจะลดค่าจ้างขนส่งได้ ส่งของได้เร็วขึ้น และทำให้ต้นทุนการจัดส่งฟรีถูกลง
แต่ต้องไม่ลืมว่า การย้ายคลังสินค้ามีต้นทุนการจัดเก็บใหม่ที่จะกระทบกำไรของคุณ ควรปรึกษาผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์ เพื่อทำความเข้าใจต้นทุนค่าหยิบของ ค่าแพ็คของ และค่าจัดส่งให้ชัดเจนเสียก่อน
5. เจรจาขอส่วนลดจากบริษัทขนส่ง
ไม่มีใครคุมต้นทุนค่าส่งของคุณได้มากไปกว่าตัวบริษัทขนส่งเอง เช่น ไปรษณีย์ไทย ดีเอชแอล หรือเคอีเอ็กซ์ ซึ่งเป็นผู้นำส่งสินค้าให้ลูกค้าของคุณ ในเมื่อบริษัทเหล่านี้เป็นผู้กำหนดราคา การเจรจาต่อรองกับพวกเขาจึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้คุณเปิดบริการจัดส่งฟรีได้อย่างมีกำไร
คุณสามารถเชื่อมต่อบัญชีขนส่งของคุณเพื่อใช้อัตราค่าส่งที่คุณดีลมาเอง หรือจะให้ Shopify จัดการให้ก็ได้ ซึ่งระบบ Shopify Shipping จะช่วยให้คุณเข้าถึงส่วนลดที่ดีที่สุดผ่านความร่วมมือพิเศษกับบริษัทขนส่งต่างๆ
6. ให้สิทธิ์ส่งฟรีเมื่อลูกค้าทำตามเงื่อนไขที่กำหนด
ใช้บริการจัดส่งฟรีเป็นรางวัลจูงใจให้ลูกค้าทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจของคุณ เช่น
- สมัครสมาชิกเว็บไซต์
- เข้าร่วมระบบสะสมแต้ม
- สมัครรับข่าวสารทางอีเมล
- กดติดตามช่องทางสื่อสังคมออนไลน์
- แนะนำร้านของคุณให้เพื่อนรู้จัก
กลยุทธ์นี้เหมาะอย่างยิ่งถ้ารอบการขายสินค้าของคุณค่อนข้างยาว หรือค่าโฆษณามีราคาสูง ตัวอย่างเช่น หากคุณขายเฟอร์นิเจอร์ราคาแพง ลูกค้ามักไม่ตัดสินใจซื้อทันทีตั้งแต่ครั้งแรกที่เข้าชมร้าน พวกเขาต้องเปรียบเทียบตัวเลือก วัดขนาดพื้นที่ในบ้าน และปรึกษากับคนในครอบครัวก่อน
ลองใช้แบบฟอร์มลงทะเบียนแบบป๊อปอัป เพื่อเสนอสิทธิ์ส่งฟรีแลกกับที่อยู่อีเมลของพวกเขา วิธีนี้จะช่วยให้คุณสามารถส่งข้อมูลไปหาลูกค้าคนนั้นได้อีกครั้งหลังจากที่เขาออกจากเว็บไซต์ไปแล้ว เพื่อกระตุ้นให้เขากลับมาซื้อในที่สุด
7. จัดโปรโมชั่นส่งฟรีเป็นช่วงเวลา
เสนอส่งฟรีในช่วงเวลาสั้นๆ เพื่อสร้างความรู้สึกเร่งด่วนและกระตุ้นยอดขาย
ลองจัดโปรโมชั่นสักหนึ่งครั้งในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ของทุกเดือน หรือจัดในช่วงเทศกาลและวันสำคัญต่างๆ เช่น คริสต์มาส วันแม่ วันพ่อ หรือวันหยุดยาว หรืออาจจะแจกรหัสส่วนลดค่าส่งให้กับคนที่สมัครรับข่าวสารทางอีเมลก็ได้
อีกทางเลือกหนึ่งคือ สร้างรหัสส่วนลดค่าส่งที่ใช้ได้แค่ไม่กี่วัน แล้วโปรโมตผ่านหน้าเว็บไซต์และสื่อออนไลน์ของคุณ การเสนอส่งฟรีเพียงไม่กี่วันจะช่วยสะกิดใจลูกค้าที่กำลังลังเลให้ตัดสินใจซื้อได้เสียที
8. เสนอทางเลือกให้มารับสินค้าเองที่ร้าน
หากคุณไม่สามารถแบกรับต้นทุนการจัดส่งฟรีได้ทั้งหมด ทางเลือกที่ดีเยี่ยมคือการเพิ่มความยืดหยุ่นให้ลูกค้ารับของได้ด้วยวิธีอื่นที่ไม่ใช่การซื้อหน้าร้านปกติ หากคุณมีหน้าร้านจริง การให้มารับของเองฟรีๆ เป็นจุดเริ่มต้นที่ชัดเจนที่สุด วิธีนี้ต้นทุนต่ำสำหรับคุณ ฟรีสำหรับลูกค้า และกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ในหมู่ผู้ซื้อที่อยากสนับสนุนร้านค้าในท้องถิ่นแต่ไม่อยากเสียค่าส่ง
แต่คุณไม่จำเป็นต้องหยุดแค่นั้น เพราะลูกค้าสมัยนี้คาดหวังทางเลือกที่หลากหลาย และการเสนอวิธีรับของที่แตกต่างกันจะช่วยให้ร้านของคุณโดดเด่นกว่าคู่แข่ง (แถมยังช่วยปรับปรุงระบบซัพพลายเชนของคุณด้วย)
- รับของโดยไม่ต้องลงจากรถ: วิธีนี้ช่วยลดเวลาในการรอและให้ลูกค้าเป็นคนกำหนดเองว่าจะมารับของเมื่อไหร่
- รับสินค้าที่ตู้ล็อกเกอร์: เช่น ตู้ล็อกเกอร์ของ LockBox ลูกค้าสามารถไปรับพัสดุจากตู้ล็อกเกอร์ที่ปลอดภัยในเวลาที่สะดวก (ซึ่งมักเปิดตลอด 24 ชั่วโมง)
- จุดรับสินค้าตามร้านค้าพันธมิตร: บริษัทขนส่งและร้านค้าปลีกหลายแห่งร่วมมือกับร้านสะดวกซื้อ ร้านขายยา หรือปั๊มน้ำมันในท้องถิ่น เพื่อใช้เป็นจุดรับสินค้า
- บริการขนส่งผ่านแอปพลิเคชัน: แพลตฟอร์มอย่าง LineMan, Grab, Flash กำลังขยายบริการมาสู่การส่งสินค้าจากร้านค้าภายในวันเดียว ซึ่งจะช่วยให้คุณจัดส่งสินค้าในพื้นที่ได้รวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณไม่มีพนักงานหรือรถส่งของเป็นของตัวเอง
ส่งไว กับ ส่งฟรี อะไรสำคัญกว่ากัน
สำหรับธุรกิจรายย่อย การจะให้บริการจัดส่งทั้งแบบ "เร็ว" และ "ฟรี" พร้อมกันนั้นเป็นเรื่องท้าทาย หลายแบรนด์จึงจำต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง แม้จะดูเหมือนต้องแลก แต่ผลสำรวจล่าสุดพบว่า ลูกค้าส่วนใหญ่เทใจให้การ "ส่งฟรี" มากกว่า "ส่งไว" แบบขาดลอย
ถึงอย่างนั้น ลูกค้าก็ยังคงตกอยู่ภายใต้ "ปรากฏการณ์ช้อปปี้" หรือความคาดหวังที่ว่าสินค้าบางอย่างควรจะส่งฟรีและถึงมือภายใน 2 วัน หรือในบางกรณีอาจต้องถึงภายในวันเดียวกันเลยด้วยซ้ำ
ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับคุณคือ การเสนอส่งฟรีแบบมาตรฐานเมื่อมียอดซื้อขั้นต่ำ แล้วค่อยเสนอขายบริการส่งด่วนพิเศษแบบเก็บเงินเพิ่มสำหรับลูกค้าที่ต้องการของไว
ความคาดหวังของลูกค้าต่อการจัดส่งฟรี
สิ่งที่ลูกค้าต้องการจริงๆ จากข้อเสนอส่งฟรี
แค่ตัดค่าส่งออกในขั้นตอนชำระเงินอาจยังไม่พอที่จะมัดใจนักช้อปออนไลน์ นอกจากความฟรีแล้ว ยังมีความคาดหวังอื่นๆ ที่คุณต้องนำมาวางแผนด้วย ได้แก่
- ความเร็ว: รายงานจาก DHL พบว่า 61% ของนักช้อปทั่วโลกต้องการได้รับของในวันรุ่งขึ้น แต่ไม่ยอมจ่ายเงินเพิ่ม ลองพิจารณาจ้างบริษัทโลจิสติกส์ภายนอกมาช่วยจัดการสต็อกและจัดส่ง เช่น Shopify Fulfillment Network ที่เชื่อมต่อร้านของคุณกับ Flexport ซึ่งมีโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมส่งออเดอร์ได้อย่างรวดเร็ว และมักจะได้ส่วนลดค่าส่งจากบริษัทขนส่งมาด้วย
- ความสะดวกสบาย: ผู้บริโภคราว 16% บอกว่าความสะดวกคือหัวใจสำคัญที่สุดในการรับของ เสนอทางเลือกที่หลากหลาย เช่น รับของที่จุดจอดรถหรือหน้าร้าน ส่งไปไว้ที่ตู้ล็อกเกอร์ หรือให้ลูกค้าเลือกช่วงเวลาจัดส่งได้เอง
- ทางเลือกการส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม: ลูกค้าเริ่มนำเรื่องความยั่งยืนมาเป็นปัจจัยในการตัดสินใจซื้อมากขึ้น ลองเอาใจลูกค้ากลุ่มนี้ด้วยวิธีรักษ์โลก เช่น ใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดการห่อหุ้มที่ไม่จำเป็นเพื่อลดขยะ และเลือกใช้บริษัทขนส่งที่มีรถพลังงานไฟฟ้าให้บริการ
- การติดตามพัสดุ: นักช้อป 60% บอกว่าความเร็วไม่สำคัญเท่ากับการที่พวกเขารู้ว่าของจะมาถึงเมื่อไหร่ สิ่งนี้ไม่ได้มีประโยชน์แค่กับลูกค้า แต่ยังช่วยลดภาระงานบริการลูกค้าที่ต้องคอยตอบคำถามว่า "ของถึงไหนแล้ว?" ได้ด้วย ตัวอย่างเช่น แอปพลิเคชัน Shop มีระบบติดตามพัสดุในตัวที่จะแจ้งเตือนผู้ใช้เป็นระยะระหว่างขั้นตอนการจัดส่ง
ให้ลูกค้าติดตามคำสั่งซื้อของพวกเขาด้วยแอป Shop
ผลของการจัดส่งฟรีต่อความภักดีกับแบรนด์
ค่าขนส่งที่งอกขึ้นมาถือเป็นอุปสรรคด่านหนึ่งที่อาจทำให้ลูกค้าประจำเปลี่ยนใจไม่ซื้อ แต่ถ้าพวกเขาไม่ต้องจ่ายเพิ่มทั้งค่าส่งและค่าจัดการ การตัดสินใจกลับมาซื้อสินค้าโปรดซ้ำก็กลายเป็นเรื่องง่ายนิดเดียว
เรื่องการคืนสินค้าก็เช่นเดียวกัน หากลูกค้าใหม่ถูกบังคับให้ต้องจ่ายค่าส่งคืนของเอง คุณจะเสียลูกค้ากลุ่มนี้ไปทันที เพราะมีนักช้อปถึง 41% ที่จะยอมซื้อของจากร้านค้าที่ให้สิทธิ์ส่งคืนสินค้าฟรีเท่านั้น
การตั้งค่าการจัดส่งฟรีใน Shopify
Shopify ช่วยให้การเสนอส่งฟรีเป็นเรื่องง่าย โดยมีวิธีทำหลักๆ ดังนี้
วิธีตั้งค่าเรตส่งฟรี
วิธีนี้ช่วยให้คุณตั้งส่งฟรีอัตโนมัติเมื่อออเดอร์ของลูกค้าตรงตามเงื่อนไขราคาหรือน้ำหนักที่กำหนด ขั้นตอนใน Shopify คือ
- ค้นหาแท็บ Setting
- ไปที่ Shipping and Delivery
- เลือกโปรไฟล์การจัดส่งที่ต้องการแก้ไข
- คลิก Add Rate ตั้งชื่อ แล้วใส่ค่าในช่องราคาเป็น 0
- คลิก Done แล้วกด Save
คุณยังใช้วิธีนี้กำหนดได้ด้วยว่าออเดอร์ไหนไม่ได้สิทธิ์ส่งฟรี หากคุณตั้งไว้เป็นค่ามาตรฐาน ตัวอย่างเช่น คุณอาจสงวนสิทธิ์ส่งฟรีไว้เฉพาะของชิ้นเล็กที่หนักไม่เกิน 500 กรัม วิธีนี้จะตัดส่วนลดค่าส่งออกอัตโนมัติหากสินค้าในตะกร้าของลูกค้ามีน้ำหนักเกินเกณฑ์ที่ตั้งไว้
รหัสส่วนลดการจัดส่งฟรี
รหัสส่วนลดการจัดส่งฟรีจะลบค่าจัดส่งเมื่อผู้ซื้อออนไลน์ป้อนรหัสคูปองในขั้นตอนการชำระเงิน
วิธีสร้างรหัสส่วนลดค่าส่งฟรีจากแผงควบคุม Shopify ของคุณ มีดังนี้
- ไปที่แท็บ Discount ใน Shopify
- คลิก Create Discount
- เลือก Free Shipping จากเมนู Select Discount Type
- ในส่วน “Method” ให้เลือก Discount Code
- สร้างรหัสด้วยตนเองหรือใช้เครื่องมือสร้างโค้ด
- ตรวจสอบรายละเอียดและคลิก Save Discount
รหัสส่วนลดแบบนี้เหมาะมากหากคุณต้องการให้รางวัลลูกค้าเฉพาะกลุ่ม เช่น ลูกค้าใหม่ หรือสมาชิกโปรแกรมสะสมแต้ม เพราะเฉพาะคนที่มีรหัสเท่านั้นถึงจะใช้สิทธิ์ส่งฟรีได้
ข้อเสียคือลูกค้าอาจลืมกรอกรหัสในขั้นตอนชำระเงิน หรือเพิ่งมารู้ว่ามีตัวเลือกนี้หลังจากจ่ายเงินไปแล้ว ซึ่งทั้งสองกรณีอาจทำให้ลูกค้าไม่พอใจและติดต่อฝ่ายบริการลูกค้าเพื่อขอคืนเงินค่าส่ง
การจัดส่งฟรีแบบมีเงื่อนไข
การจัดส่งฟรีแบบมีเงื่อนไขจะตัดค่าส่งออกให้ทันทีในหน้าชำระเงินโดยใช้รหัสส่วนลดแบบอัตโนมัติ วิธีนี้มีประโยชน์เมื่อคุณต้องการตั้งกฎเกณฑ์ที่ซับซ้อนกว่าแค่เรื่องราคาหรือน้ำหนัก
วิธีทำมีดังนี้
- เข้าสู่ระบบ Shopify และไปที่ Discounts
- เลือก Create Discount
- ไปที่ Select Discount Type และกด Free Shipping
- เลือก Automatic Discount
- สร้างรหัสการจัดส่งฟรี
- ตรวจสอบรายละเอียดและคลิก Save Discount
การจัดส่งฟรีอัตโนมัติช่วยแก้ปัญหาลูกค้าลืมกรอกรหัสเอง แต่ข้อเสียคือมันให้สิทธิ์กับทุกคน คุณจึงอาจจะต้องแบกรับค่าส่งให้แม้กระทั่งกับลูกค้าที่จริงๆ แล้วยินดีจ่ายค่าส่งเพิ่มก็ตาม
กำหนดเงื่อนไขการจัดส่งฟรี
หากคุณตัดสินใจแล้วว่าการจัดส่งฟรีแบบมีเงื่อนไขคือกลยุทธ์ที่ดีที่สุดสำหรับร้านค้าออนไลน์ของคุณ Shopify จะช่วยให้คุณจัดการสิทธิ์การรับส่วนลดได้จากแถบ Discount
ตัวอย่างเช่น คุณสามารถ
- ตั้งค่าขีดจำกัดการซื้อขั้นต่ำหรือจำนวน
- ทำให้รหัสส่วนลดการจัดส่งฟรีเฉพาะสำหรับกลุ่มเฉพาะ เช่น VIP หรือลูกค้าครั้งแรก
- ใช้รหัสส่วนลดการจัดส่งฟรีกับธุรกรรมเฉพาะ (เช่น การซื้อครั้งเดียวเท่านั้นและไม่ใช่การสมัครสมาชิก)
- ตั้งค่าขีดจำกัดการใช้งานที่อนุญาตให้ลูกค้าจำนวนหนึ่งใช้รหัสการจัดส่งฟรี
- ยกเว้นประเทศหรือภูมิภาคเฉพาะสำหรับการจัดส่งฟรี
- กำหนดวันที่เริ่มต้นและสิ้นสุดสำหรับโปรโมชั่นการจัดส่งฟรีที่มีระยะเวลาจำกัด
คุณควรเสนอการจัดส่งฟรีหรือไม่?
การจัดส่งฟรีเริ่มกลายเป็นสิ่งจำเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ ในการรักษาความพึงพอใจของลูกค้า คุณสามารถทดลองใช้รูปแบบการจัดส่งฟรีที่แตกต่างกันดู เพื่อหาว่าแบบไหนสร้างกำไรสูงสุดให้กับธุรกิจของคุณ
โปรดจำไว้ว่าเกณฑ์การจัดส่งฟรีไม่ใช่ตัวเลขที่ตั้งครั้งเดียวแล้วจบไป กลยุทธ์ของคุณจะและควรเปลี่ยนแปลงไปตามการเติบโตของธุรกิจ อย่าลืมกลับมาทบทวนนโยบายการจัดส่งในช่วงเทศกาลขายสำคัญๆ และเมื่อธุรกิจเติบโตขึ้นตามเป้าหมาย
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการจัดส่งฟรี
การจัดส่งฟรีจริงๆ แล้วฟรีหรือไม่
การจัดส่งฟรีอาจจะฟรีจริงๆ สำหรับลูกค้า หรืออาจจะมาพร้อมเงื่อนไขก็ได้ ในบางกรณี ร้านค้าเสนอส่งฟรีเมื่อยอดซื้อถึงเกณฑ์ขั้นต่ำ หรือส่งฟรีเฉพาะพื้นที่ ซึ่งกรณีนี้เจ้าของธุรกิจจะเป็นผู้รับภาระค่าส่งเอง แต่บางร้านค้าก็ใช้วิธีบวกค่าส่งรวมเข้าไปในราคาสินค้าแล้ว หรือให้ลูกค้าจ่ายเพิ่มเฉพาะกรณีที่ต้องการส่งด่วนพิเศษเท่านั้น
คนจะซื้อของเยอะขึ้นหรือไม่ ถ้ามีโปรส่งฟรี
ซื้อเยอะขึ้น คนมักจะซื้อเยอะขึ้นเมื่อมีบริการจัดส่งฟรี เพราะมันช่วยเพิ่มความรู้สึกคุ้มค่า ลดความลังเลในการตัดสินใจซื้อ เพิ่มยอดขายเฉลี่ยต่อออเดอร์ และกระตุ้นยอดขายโดยรวมได้เป็นอย่างดี
บริการจัดส่งฟรีสร้างความเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่
ได้แน่นอน การจัดส่งฟรีเปลี่ยนมุมมองที่ลูกค้ามีต่อสินค้าหรือบริการนั้นๆ ลูกค้าที่ได้รับสิทธิ์ส่งฟรีมีแนวโน้มที่จะซื้อของกับร้านที่มีบริการนี้ เพราะช่วยประหยัดเงินได้ นอกจากนี้ยังช่วยสร้างความภักดีและความพึงพอใจ เพราะลูกค้าชอบความสะดวกสบายที่ไม่ต้องมานั่งจ่ายค่าจุกจิกเพิ่ม
ใครจ่ายค่าจัดส่งเมื่อส่งฟรี
แล้วแต่กรณี บางครั้งผู้ขายก็เป็นคนควักกระเป๋าจ่ายค่าส่งเอง โดยเฉพาะช่วงที่มีโปรโมชั่นจำกัดเวลาหรือสำหรับสินค้าบางรายการ แต่ถ้าเป็นการจัดส่งฟรีตลอดเวลา ร้านค้าจำนวนมากมักจะรวมต้นทุนค่าส่งเข้าไปในราคาสินค้าแล้ว ซึ่งเท่ากับว่าผู้บริโภคก็คือคนจ่ายเงินส่วนนั้นทางอ้อมตอนที่ซื้อสินค้านั่นเอง
ลูกค้าสนใจการจัดส่งฟรีหรือไม่
ให้ความสำคัญมาก ผลการศึกษาและแบบสอบถามจำนวนมากชี้ตรงกันว่า นักช้อปชอบส่งฟรี มากกว่าส่งไว และพวกเขายอมรับเงื่อนไขต่างๆ ได้ เช่น การมียอดสั่งซื้อขั้นต่ำ หรือต้องสมัครสมาชิกก่อน ถึงจะได้รับสิทธิ์ส่งฟรี


