อุตสาหกรรมของแต่งบ้านเคยได้รับแรงหนุนอย่างไม่คาดคิดจากวิกฤตโรคระบาดทั่วโลก เมื่อผู้คนต้องใช้เวลาที่บ้านมากขึ้น งบจับจ่ายจึงถูกเทไปสู่การปรับปรุงพื้นที่อยู่อาศัยของตัวเอง ในเดือนกันยายน 2020 เพียงเดือนเดียว ชาวไทยใช้เงินกว่า 0.7 ล้านล้านบาทไปกับสินค้าแต่งบ้านซึ่งเป็นตัวเลขที่สร้างสถิติใหม่
แต่ไม่นาน ความท้าทายครั้งใหญ่ก็ถาโถมใส่อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้าน ทั้งปัญหาห่วงโซ่อุปทานยาวนานถึงสามปี การขาดแคลนวัตถุดิบ ภาวะถดถอยในตลาดที่อยู่อาศัย และกำลังซื้อที่หดตัวลงของผู้บริโภค
ในปี 2023 ผู้ซื้อใช้จ่ายกับสินค้าแต่งบ้านราว 133.6 ล้านล้านบาท ลดลงถึง 5.4% จากปี 2022 กลายเป็นหนึ่งในหมวดสินค้าที่มียอดใช้จ่ายตกลงมากที่สุด ร้านเฟอร์นิเจอร์ชื่อดังซึ่งอยู่ในใจผู้บริโภคมานานอย่าง Z Gallerie, Noble House Home Furnishings และ Mitchell Gold + Bob Williams ยังต้องยื่นล้มละลายจากภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน
เมื่อแนวโน้มยังคงชะลอตัว คำถามที่ผู้ค้าปลีกต่างอยากรู้คือ จะดึงดูดและรักษาลูกค้าเป้าหมายได้อย่างไร? ที่นี่ เราได้รวบรวมเทรนด์ของแต่งบ้านอีคอมเมิร์ซที่สำคัญซึ่งกำลังกำหนดทิศทางอุตสาหกรรมของแต่งบ้านในปี 2026 พร้อมบทเรียนสำคัญที่คุณสามารถนำไปปรับใช้ได้ทันที
สถานการณ์อุตสาหกรรมของเทรนด์ของแต่งบ้านในปี 2026 เป็นอย่างไร?
ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า “อุตสาหกรรมของแต่งบ้าน” มีขอบเขตครอบคลุมกว้างกว่าที่คิด ทั้งสินค้า B2B และ B2C ได้แก่
- เฟอร์นิเจอร์ภายในและภายนอกอาคาร
- วัสดุปูพื้น
- อุปกรณ์ครัวและเครื่องครัว
- เครื่องใช้ไฟฟ้า
- ของตกแต่งบ้าน
- ผ้าบุเฟอร์นิเจอร์และสิ่งทอภายในบ้าน
- สินค้าทำความสะอาด
ปัจจัยที่ส่งผลรุนแรงที่สุดต่ออุตสาหกรรมนี้ในปีที่ผ่านมา คือภาวะชะงักงันของตลาดที่อยู่อาศัยในปีก่อนหน้า อัตราดอกเบี้ยจำนองพุ่งเกือบแตะ 8% ราคาบ้านเดี่ยวเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 8.5% ภายในไตรมาสเดียว และบางพื้นที่ทะยานขึ้นกว่า 25% ส่งผลให้ยอดขายบ้านร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 13 ปี
แรงกระเพื่อมนี้ส่งผลตรงต่อผู้ค้าสินค้าแต่งบ้าน จากรายงานของ YipitData ผู้ค้าปลีกเทรนด์ของแต่งบ้านรายใหญ่ เช่น Ashley Furniture มียอดขายรวม (GMV) ลดลงถึง 21% ในไตรมาสแรกของปี 2023 แม้แต่ผู้ค้าปลีกออนไลน์อย่าง Wayfair ก็ยังรายงานผลขาดทุนสุทธิสูงถึง 738 ล้านล้านบาทในช่วงสิ้นปี
ยอดขายออนไลน์และออฟไลน์ของ Ashley Furniture
อย่างไรก็ตาม ช่วงปลายปี 2023 สถานการณ์เริ่มมีสัญญาณฟื้นตัว อัตราดอกเบี้ยจำนองค่อย ๆ ลดลง ราคาบ้านเริ่มทรงตัว ทำให้ยอดขายของแต่งบ้านขยับขึ้นเล็กน้อย โดย Wayfair มียอดขายเพิ่มขึ้น 0.4% จากไตรมาสก่อนหน้า
ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมคาดว่า ตลาดที่อยู่อาศัยจะมีเสถียรภาพมากขึ้นในปี 2024 ซึ่งถือเป็นสัญญาณบวกที่จะช่วยพลิกฟื้นตลาดและเทรนด์เของแต่งบ้านให้กลับมาคึกคักอีกครั้งในปี 2026
เทรนด์ของแต่งบ้านอีคอมเมิร์ซน่าติดตามในปี 2026
- ของแต่งบ้านอเนกประสงค์
- ของแต่งบ้านอัจฉริยะ
- การแนะนำสินค้าแบบเฉพาะบุคคล
- ช้อปปิ้งของแต่งบ้านออนไลน์ยังคงครองใจผู้บริโภค
- ใช้ AR เพื่อสร้างประสบการณ์ช้อปปิ้งที่สมจริง
- การเติบโตต่อเนื่องของแบรนด์ DTC ที่ท้าชนร้านใหญ่
- สินค้าที่มีจุดยืนด้านความยั่งยืน
- ให้ความสำคัญกับการช้อปผ่านมือถือ
- ระบบสมัครสมาชิกยังคงมาแรง
แม้ปี 2026 จะยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แต่แบรนด์ของแต่งบ้านก็ยังเติบโตได้ หากรู้จักใช้ประโยชน์จากเทรนด์ของแต่งบ้านอีคอมเมิร์ซเหล่านี้ให้เต็มที่
1. ของแต่งบ้านอเนกประสงค์
เมื่อยอดซื้อบ้านใหม่ลดลง ผู้คนจึงพยายามปรับพื้นที่ที่มีให้คุ้มค่าที่สุด เทรนด์นี้ส่งผลให้ความนิยมของ “ของแต่งบ้านที่ทำได้หลายหน้าที่” พุ่งสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ตลาดของแต่งบ้านอเนกประสงค์มีมูลค่าสูงถึง 8.7 ล้านล้านบาท และคาดว่าจะเติบโตเฉลี่ยต่อปี 7.5% ตั้งแต่ปี 2024–2031 Manuel Delgado หัวหน้าทีมออกแบบตกแต่งภายในเชิงกลยุทธ์ของ IKEA Spain อธิบายว่า “เพราะไลฟ์สไตล์ที่ยืดหยุ่นมากขึ้น การออกแบบจึงมุ่งไปสู่ของแต่งบ้านที่หลากหลายฟังก์ชัน และปรับเปลี่ยนได้ตามการใช้งาน”
เทรนด์ของแต่งบ้านอเนกประสงค์ที่โดดเด่นในร้านค้าต่าง ๆ ได้แก่:
- การกลับมาของโซฟาเบดสุดคลาสสิก
- ออปชั่นเก็บของในเก้าอี้เตี้ย เตียง หรือม้านั่ง
- โต๊ะพับ โต๊ะขยาย โต๊ะเก็บซ่อนได้
- โต๊ะทำงานแบบติดผนัง
- อุปกรณ์ออกกำลังกายขนาดกะทัดรัด เช่น Walking Pad
2. ของแต่งบ้านอัจฉริยะ
จะบอกว่า “AI เข้ามาอยู่ในทุกอุตสาหกรรม” ยังถือว่าน้อยไปด้วยซ้ำ เทคโนโลยีใหม่กำลังแทรกซึมอยู่ทุกมุมของชีวิตประจำวันของเรา เมื่อกระแสสมาร์ทโฮมเติบโตควบคู่กันไป ของแต่งบ้านที่ผสานเทคโนโลยีจึงกลายเป็นเทรนด์ของแต่งบ้านที่มาแรงสุดๆ ในตอนนี้ ส่งผลให้ตลาดของแต่งบ้านอัจฉริยะมีแนวโน้มพุ่งสู่มูลค่า 4.26 ล้านล้านบาทภายในปี 2030
คุณสมบัติยอดฮิตที่แบรนด์ของแต่งบ้านสายเทคกำลังนำเสนอ ได้แก่:
- ระบบชาร์จไร้สายในตัว
- ลำโพงที่ฝังเข้ากับของแต่งบ้าน
- ระบบตรวจวัดสุขภาพ
- การสั่งงานด้วยเสียง พร้อมเชื่อมต่อ Wi-Fi Bluetooth และอุปกรณ์ IoT ภายในบ้าน
บริษัทอย่าง Sleep Number ยังยกระดับไปอีกขั้น ด้วยการติดตั้งเซ็นเซอร์วัดชีวภาพลงในที่นอน เพื่อตรวจจับและวิเคราะห์รูปแบบการนอนของผู้ใช้ ข้อมูลทั้งหมดสามารถเข้าดูได้ผ่านแอป SleepIQ เป็นกลยุทธ์ที่ช่วยให้ผู้ใช้นอนหลับดีขึ้นจริงพร้อมได้รับคุณค่าจากสินค้ามากกว่าที่เคย นี่จึงเป็นเหตุผลชัดเจนว่าทำไมผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพและข้อมูลส่วนตัวถึงเลือก Sleep Number แทนผู้ค้ารายอื่น
เตียงอัจฉริยะของ Sleep Number
3. การแนะนำสินค้าแบบเฉพาะบุคคล
พูดถึง AI แล้ว บอกเลยว่าเทรนด์นี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป เพราะกว่า 90% ของบริษัททั่วโลกใช้การปรับประสบการณ์แบบเฉพาะบุคคลที่ขับเคลื่อนด้วย AI กันแล้ว โดยเฉพาะร้านค้าของแต่งบ้านที่สามารถเพิ่มยอดขายและสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้าได้ง่ายขึ้น ผ่านการนำเสนอโปรโมชันหรือสินค้า “ที่ตรงใจ” จากประวัติการซื้อหรือพฤติกรรมการชมสินค้า
ข้อมูลเผยว่า 49% ของผู้บริโภค มีแนวโน้มกลับมาซื้อซ้ำ หากแบรนด์มอบประสบการณ์เฉพาะบุคคลให้ เพิ่มขึ้นถึง 7% จากปีก่อน ไม่แปลกใจเลยที่ 62% ของผู้นำธุรกิจมองว่าการรักษาฐานลูกค้าให้เหนียวแน่นขึ้นคือประโยชน์สำคัญของการการแนะนำสินค้าแบบเฉพาะบุคคล
ตัวอย่างที่เห็นภาพชัดคือแบรนด์ล็อกเกอร์พรีเมียม Mustard Made ร้านค้าออนไลน์ที่ใช้ข้อมูลประวัติการเข้าชมของลูกค้า เพื่อแนะนำสินค้าที่เข้ากับความสนใจของแต่ละคนแบบเฉพาะเจาะจง ผลลัพธ์คือ ธุรกิจที่ขับเคลื่อนโดย Shopify นี้เพิ่มมูลค่าการสั่งซื้อเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 15% รายได้รวมพุ่งทะยานกว่า 158% ไม่ใช่เรื่องเล็กเลยในยุคที่ลูกค้าต้องการ “แบรนด์ที่เข้าใจตนเองจริงๆ” มากกว่าแค่ป้ายลดราคา การปรับประสบการณ์ให้ตรงใจจึงไม่ใช่แค่เทรนด์ แต่เป็นกลยุทธ์สำคัญของการเติบโตในยุคอีคอมเมิร์ซ
4. ช้อปปิ้งของแต่งบ้านออนไลน์ยังคงครองใจผู้บริโภค
แม้ว่าเทรนด์ของแต่งบ้านโดยรวมจะซบเซา แต่ยอดซื้อจำนวนมากยังคงเกิดขึ้นทางออนไลน์ นี่คือสัญญาณชัดเจนว่าผู้บริโภคจะยังคงซื้อของแต่งบ้านผ่านช่องทางออนไลน์ในปี 2024 และมีแนวโน้มต่อเนื่องในอนาคต
ตามข้อมูลจาก Statista ยอดขายของแต่งบ้านที่ร้านออฟไลน์ลดลงเล็กน้อยในปลายปี 2023 จาก 11 ล้านล้านบาทเหลือ 10.5 ล้านล้านบาท ในขณะที่ 1 ใน 5 ของผู้บริโภคทั่วโลก ซื้อสินค้าบ้านและสวนออนไลน์ทุกเดือนในไตรมาสที่สองของปีเดียวกัน เหตุผลหลักคือราคาที่ถูกกว่าและความสะดวกในการซื้อ
อีคอมเมิร์ซเทรนด์ของแต่งบ้านกำลังเฟื่องฟู
เพื่อดึงดูดผู้บริโภคให้ซื้อออนไลน์ ร้านค้าของแต่งบ้านจำเป็นต้องตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในการช้อปปิ้งที่ง่าย สะดวก และ เชื่อมต่อหลายช่องทาง ลูกค้าต้องการความสะดวกของการซื้อออนไลน์ แต่ยังคงรู้สึกว่าได้รับประสบการณ์เฉพาะบุคคล
ในการสนทนากับ eMarketer Duncan Blair เล่าถึงกลยุทธ์แบรนด์ขายตรงถึงผู้บริโภค (DTC) อย่าง Article ว่า “ความต้องการพื้นฐานของผู้บริโภคส่วนใหญ่คืออยากนั่งบนโซฟา แต่เรากลับถามว่า ‘มีอะไรบ้างที่เราทำออนไลน์ได้แต่ทำไม่ได้ในร้าน?”
"หนึ่งในกลยุทธ์คือ การโชว์เนื้อหาที่สร้างโดยผู้ใช้ โดยเฉพาะการถ่ายภาพ" Duncan กล่าว "ลูกค้าถ่ายภาพสินค้าของ Article ในบ้านของตัวเอง ทำให้ผู้ซื้อรายอื่นเห็นว่าสินค้าเหมาะกับสไตล์ต่างๆ ได้จริง
"ระบบรีวิวที่แข็งแกร่ง บางสินค้ามีรีวิวมากกว่า 2,000 รีวิว และทีมงานให้ความสำคัญกับการเก็บฟีดแบ็กที่จริงใจจากลูกค้า"
5. ใช้ AR เพื่อสร้างประสบการณ์ช้อปปิ้งที่สมจริง
จากแนวคิดในโลกอนาคตสู่เทคโนโลยีที่เข้าถึงได้จริง (AR) กำลังกลายเป็นเครื่องมือยอดนิยมสำหรับเทรนด์ของแต่งบ้าน เพื่อโชว์สินค้าแบบเฉพาะบุคคลและสร้างประสบการณ์ที่สมจริง
เนื่องจากผู้คนส่วนใหญ่ยังคงชื่นชอบประสบการณ์การเลือกซื้อสินค้าตกแต่งบ้านจากร้านค้าจริง ๆ การใช้ความจริงเสริมจึงเป็นสะพานเชื่อมระหว่างการช้อปปิ้งออนไลน์และการช้อปปิ้งในร้าน การนำเสนอสินค้าแบบดั้งเดิมที่เป็นแค่ภาพถ่ายหรือวิดีโอจะไม่สามารถเปรียบเทียบกับการที่ผู้ซื้อสามารถเห็นและสัมผัสสินค้าผ่านเทคโนโลยี AR ซึ่งทำให้ลูกค้าสามารถเห็นสินค้าจริงในสภาพแวดล้อมของบ้านตนเองได้
หลายคนยังคงชอบสัมผัสสินค้าของแต่งบ้านด้วยตัวเองในร้าน AR จึงช่วยเชื่อมช่องว่างระหว่างการซื้อออนไลน์และการซื้อในร้าน แทนที่จะให้ลูกค้าดูเพียงรูปภาพ วิดีโอ หรือคำอธิบายแบบทั่วไป AR ช่วยให้สินค้า “ปรากฏขึ้น” ต่อหน้าลูกค้า ทำให้พวกเขาเห็นภาพชัดเจนว่าของแต่งบ้านจะเข้ากับพื้นที่ของตัวเองอย่างไร
ตัวอย่างจาก Magnolia Market ร้านของใช้ในบ้านชื่อดังจากเท็กซัส ร้านสาขาใน Waco ได้สร้างประสบการณ์แบรนด์ที่เข้มข้นให้กับผู้มาเยือน แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะเดินทางไปที่ร้านได้
เพราะฉะนั้น แบรนด์จึงต้องการสร้างประสบการณ์ที่ช่วยให้ผู้ซื้อที่ไม่สามารถเยี่ยมชมร้านใน Waco ได้ สามารถโต้ตอบกับสินค้าได้ดีขึ้น
เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสสินค้าแม้ไม่ต้องออกจากบ้าน Magnolia Market จึงพัฒนาแอป AR ร่วมกับ Shopify สินค้าที่เลือกจะถูกสร้างเป็นภาพ 3D ผ่าน Apple ARKit ให้ลูกค้าเห็นสินค้าเหมือนอยู่ในบ้านตัวเอง
แอป AR ของ Magnolia Market
วิธีใช้ก็ง่าย ลูกค้าเปิดหน้าสินค้าแล้วถือสมาร์ทโฟนเพื่อดูสินค้า “ปรากฏ” ต่อหน้าตัวเอง AR ทำให้ Magnolia Market สามารถจำลองประสบการณ์ร้านค้าได้เสมือนจริง แม้ลูกค้าไม่ได้มาที่ Waco
สำหรับ Magnolia Market การใช้ AR ก็เป็นการยกระดับประสบการณ์ลูกค้าสำหรับคนที่ไม่สามารถไปเยี่ยมชมร้านจริง ๆ และช่วยให้ลูกค้ารู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในร้าน พร้อมกับได้เห็นสินค้าจริงๆ ในบ้านของตัวเอง แม้แต่พนักงานของ Magnolia Market ก็ยังตกใจเมื่อเห็นสินค้าที่สร้างจาก ARKit ว่าไม่สามารถแยกได้ว่าสินค้าไหนเป็นของจริง
“เรามีโอกาสได้เห็นวิดีโอที่เปรียบเทียบระหว่างสินค้าใน ARKit กับสินค้าจริงๆ” Stone Crandall ผู้จัดการด้านประสบการณ์ดิจิทัลของ Magnolia Market กล่าว “บางครั้งฉันยังไม่สามารถบอกได้เลยว่าอันไหนจริง อันไหนเป็นภาพจาก AR”
6. การเติบโตต่อเนื่องของแบรนด์ DTC ที่ท้าชนร้านใหญ่
ในระดับธุรกิจขนาดใหญ่ ปัจจุบันมีเพียง 11 แบรนด์ ที่ครอง 55% ของเทรนด์ของแต่งบ้าน ชื่อใหญ่ในครัวเรือนอย่าง Walmart และ Target มีส่วนแบ่งตลาดบ้านในสหรัฐฯ เพียง 11% และ 7% ตามลำดับ ส่วน IKEA และ Williams-Sonoma มีส่วนแบ่งตลาดเพียง 2% และ 3%
ส่วนแบ่งตลาดของแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ยอดนิยม
ความกระจัดกระจายนี้สะท้อนถึง ความจงรักภักดีต่อแบรนด์ที่ยังไม่ชัดเจน และเปิดโอกาสให้เกิดการปฏิวัติตลาด แบรนด์ DTC จึงมีพื้นที่มากในการเข้ามาเสนอสินค้าที่แข่งขันได้ทั้งราคาและนวัตกรรม
ตัวอย่างที่เห็นชัดคือ Casper แบรนด์ที่ขายที่นอนในกล่อง ซึ่งไม่เพียงแต่ทำลายตลาดของแต่งบ้าน แต่ยังขยายผลไปถึงตลาดค้าปลีกโดยรวม
Casper ใช้กลยุทธ์ hyper-focused เริ่มต้นด้วยเพียงไม่กี่ SKU ซึ่งทำให้แบรนด์สามารถมอบ ประสบการณ์ลูกค้าที่ดีที่สุด ก่อนขยายสายสินค้า กลยุทธ์นี้ได้ผลอย่างชัดเจน Casper กลายเป็นผู้นำตลาด DTC ที่โดดเด่น พร้อมรายได้ประจำปี 497 ล้านบาท
7. สินค้าที่มีจุดยืนด้านความยั่งยืน
ผู้บริโภคยุคนี้ให้ความสำคัญกับค่านิยมด้านความยั่งยืนของแบรนด์ โดยกว่า 60% ของผู้ซื้อ ยอมจ่ายเพิ่มสำหรับสินค้าที่ใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ในปี 2024 แบรนด์ของแต่งบ้านควรพิจารณาว่าจะ เน้นสินค้าที่ผลิตอย่างยั่งยืน และสื่อสารให้ลูกค้าเห็นว่าแบรนด์ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมอย่างไร
การรู้ว่าสินค้าผลิตอย่างไรและที่ไหนได้กลายเป็นสิ่งสำคัญมากขึ้นสำหรับลูกค้า พวกเขาไม่ได้สนใจแค่สินค้าสุดท้ายที่ได้รับ แต่ยังให้ความสำคัญกับ กระบวนการผลิตตั้งแต่ต้นจนจบ
ตัวอย่างที่โดดเด่นคือแบรนด์ Fabuliv แบรนด์ของแต่งบ้านที่มีค่านิยมด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมชัดเจน Ishita Singh ผู้ก่อตั้งแบรนด์เล่าว่าค่านิยมด้านความยั่งยืนของพวกเขายังเชื่อมโยงกับปรัชญาการออกแบบของพวกเขาด้วย: “เรานำวัสดุมา upcycle และ recycle เยอะมาก เป้าหมายคือการลดขยะให้เหลือน้อยที่สุด
"เรามีปรัชญาการออกแบบที่เรียบง่าย และผสานฟังก์ชันการใช้งานเข้ากับสไตล์ตกแต่งบ้าน ทุกชิ้นงานผสมผสานเทรนด์ของแต่งบ้านระดับโลกและงานฝีมืออินเดีย”
นอกจากนี้ การขายสินค้าทำมือโดยช่างฝีมือช่วยให้แบรนด์สามารถ มอบความมั่นคงให้กับพนักงาน สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อชุมชน เปิดโอกาสให้ช่างฝีมือได้แสดงผลงานในระดับประเทศ
Ishita เสริมว่า: “ถ้าผู้คนที่คุณทำงานด้วยมีความสุข คุณก็มีความสุข เราไม่ได้ทำธุรกิจเพียงเพื่อหาเงิน แต่เราต้องการสร้างความแตกต่างเชิงบวกในสังคมและชีวิตของช่างฝีมือที่ไม่เคยมีโอกาสแสดงงานฝีมือในระดับชาติ”
ความคาดหวังการจัดส่งของ Fabuliv
ในคำอธิบายสินค้าของ Fabuliv ทุกชิ้นจะถูกเน้นว่า "ทำด้วยมือโดยช่างฝีมือ ไม่มีการใช้เครื่องจักรมาก" ดังนั้นลูกค้าจึงไม่ควรคาดหวังการจัดส่งที่รวดเร็ว
การสื่อสาร ค่านิยมด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม นี้ช่วยให้ผู้ซื้อเชื่อมโยงตัวเองกับความเชื่อของแบรนด์ สร้างโอกาสให้เกิดความภักดีและความสัมพันธ์ระยะยาว
8. ให้ความสำคัญกับการช้อปผ่านมือถือ
ในปี 2024 คาดว่า 65.8% ของผู้ใช้สมาร์ทโฟนทั่วโลก จะใช้แอปช้อปปิ้ง แต่การตอบโจทย์ลูกค้าไม่ได้หมายถึงแค่มีเว็บไซต์ที่รองรับมือถือเท่านั้น เพราะผู้บริโภคที่ช้อปผ่านมือถือคาดหวัง ประสบการณ์ที่สะดวก รวดเร็ว และใช้งานง่าย
ผู้ซื้ออยากเข้าถึงข้อมูลได้ทันที ค้นพบสินค้าใหม่ๆ และได้รับประสบการณ์มือถือที่ตรงกับความสนใจของตน
ตัวอย่างจาก Monte Design ร้านของแต่งบ้านที่ออกแบบเว็บไซต์มือถือให้ เรียบง่าย ใช้งานง่าย และเป็นมิตรกับผู้ใช้ เนื้อหาสินค้าให้ข้อมูลครบถ้วน ทั้งขนาด วิธีดูแลทำความสะอาด และการจัดส่ง ฟีเจอร์ “View in my room” ช่วยให้ลูกค้าเห็นภาพสินค้าในพื้นที่ของตัวเอง
แอป AR ของ Monte Design
ผลลัพธ์ของการให้ความสำคัญกับมือถือก็ชัดเจน ขณะที่ปรับปรุงเว็บไซต์ด้วย Shopify พบว่า 70% ของทราฟฟิกมาจากมือถือ การปรับไซต์ให้เหมาะกับสมาร์ทโฟนทำให้ ทราฟฟิกเว็บเพิ่มขึ้น 15% รายได้ต่อปีเติบโต12%
9. ระบบสมัครสมาชิกยังคงมาแรง
สินค้าขนาดใหญ่ในบ้าน เช่น เตียงหรือโต๊ะ มักไม่ได้ถูกซื้อบ่อยนัก ซึ่งสร้างปัญหา Customer Lifetime Value (CLV) สำหรับผู้ค้าปลีก ถ้าลูกค้าซื้อเพียงครั้งหรือสองครั้งตลอดชีวิต จะทำอย่างไรให้ธุรกิจยังมีกำไร?
คำตอบที่มาแรงคือ แพ็กเกจสมัครสมาชิก สำหรับแบรนด์ ช่วยสร้าง รายได้ประจำ และเพิ่มความภักดีของลูกค้า สำหรับลูกค้า เป็นโอกาสทดลองสินค้าหรือรับสินค้าที่ใช้อยู่เป็นประจำในราคาที่ดีกว่า แบรนด์สามารถตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าได้ด้วยการส่งมอบ สินค้านวัตกรรมหรือสินค้ายอดนิยม อย่างต่อเนื่องในแพ็กเกจสมัครสมาชิก
สินค้าขนาดเล็กในบ้าน เช่น ของตกแต่ง ทำความสะอาด หรือพืชสวน เหมาะสำหรับแนวทางนี้ เพราะช่วยเพิ่ม LTV ให้ลูกค้าซื้อซ้ำได้บ่อย
ตัวอย่างจาก Rooted ร้านขายต้นไม้ที่ทำกล่องสมัครสมาชิกต้นไม้รายเดือน ตามความชอบของลูกค้า แพ็กเกจต้นไม้ปริศนาไซส์จิ๋วเริ่มต้นเพียง 650฿ ต่อเดือน มีแอปให้ลูกค้าดูคำแนะนำการดูแลต้นไม้และช้อปสะดวกทุกที่
การสมัครสมาชิกของ Rooted สำหรับของแต่งบ้านและสวน
อุตสาหกรรมของแต่งบ้านจะเป็นอย่างไรในปี 2026 และต่อไป?
เมื่อมองไปยังปีข้างหน้า ควรจับตา "เทรนด์ของแต่งบ้านอีคอมเมิร์ซ" เพื่อเริ่มนำไปปรับใช้ในธุรกิจตั้งแต่ต้นปี
สำหรับข้อมูลเชิงลึกล่าสุดเกี่ยวกับช้อปปิ้งออนไลน์ สามารถดูได้จากคู่มือการเติบโตอีคอมเมิร์ซซึ่งรวบรวม ข้อมูลเชิงสถิติ ความเข้าใจเชิงธุรกิจ และข้อเสนอแนะสำหรับปี 2026 และต่อไป หนึ่งในข้อค้นพบที่น่าสนใจสำหรับอุตสาหกรรมของแต่งบ้านคือ ช่องทางที่สร้างยอดสั่งซื้อเฉลี่ยสูงที่สุด คือการขายตรและพันธมิตรซึ่งสะท้อนถึงความแข็งแกร่งและคุณค่าของการตลาดพันธมิตรสำหรับผู้ค้าปลีก
การติดตามและปรับตัวให้ทัน กลยุทธ์การตลาดและอีคอมเมิร์ซหลักของตลาดของแต่งบ้านจะช่วยให้ธุรกิจของคุณ มอบประสบการณ์ช้อปปิ้งที่ดีที่สุดให้ลูกค้า รักษาความได้เปรียบเหนือคู่แข่งในตลาด
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับเทรนด์ของแต่งบ้าน
เทรนด์ของแต่งบ้านกำลังเติบโตใช่หรือไม่?
ผู้ซื้อเฟอร์นิเจอร์ในไทย ใช้จ่ายกับของตกแต่งบ้านประมาณ 133.6 ล้านล้านบาท ในปี 2023 และเมื่อราคาบ้านและอัตราเงินเฟ้อลดลง ตัวเลขดังกล่าวคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 202,000 ล้านบาทในปี 2024
ตลาดของแต่งบ้านออนไลน์มีขนาดใหญ่แค่ไหน?
ยอดขายออนไลน์ของอุตสาหกรรมของแต่งบ้านพุ่งสูงถึง 15.4 ล้านล้านบาทในปี 2023 คาดว่าตลาดการตกแต่งบ้านออนไลน์ทั่วโลกจะเติบโตถึง 313 ล้านล้านบาทภายในปี 2031
เกิดอะไรขึ้นในอุตสาหกรรมของแต่งบ้าน?
อุตสาหกรรมของแต่งบ้านทั่วโลกกำลังฟื้นตัวจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่ผ่านมา ผู้ค้าปลีกของแต่งบ้านรายใหญ่กำลังเผชิญกับการแข่งขันที่มากขึ้นกับแบรนด์ DTC ผู้บริโภคเลือกซื้อสินค้าออนไลน์มากกว่าที่ร้านค้า และเพื่อรักษาลูกค้าที่ช้อปปิ้งขณะเดิน ธุรกิจของแต่งบ้านที่มีวิสัยทัศน์ก้าวไกลกำลังสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งบนมือถือที่ชาญฉลาด
สินค้าที่เป็นเทรนด์ของแต่งบ้านแบบไหนที่กำลังมา?
- ของแต่งบ้านอัจฉริยะ
- AR สำหรับการช้อปปิ้งออนไลน์
- ของแต่งบ้านอเนกประสงค์
- สินค้าที่มีจุดยืนด้านความยั่งยืน
- การสมัครสมาชิก
- การแนะนำสินค้าแบบเฉพาะบุคคล
การคาดการณ์อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ในอนาคตมีอะไรบ้าง?
ทั้งบริษัท DTC ของแต่งบ้าน และบริษัทของแต่งบ้านรายใหญ่จะให้ความสำคัญกับประสบการณ์การช้อปปิ้งออนไลน์ที่ดีขึ้น เช่น การแนะนำสินค้าแบบเฉพาะบุคคลที่สร้างโดย AI และ AR นอกจากนี้ ยังมีการผลักดันให้นำเทคโนโลยีและฟีเจอร์ประหยัดพื้นที่มาใช้กับของแต่งบ้านอีกด้วย


