การขายให้ลูกค้าทั่วโลกด้วยอีคอมเมิร์ซอินเตอร์ไม่ใช่แค่ข้อได้เปรียบ แต่กลายเป็นความจำเป็นของธุรกิจไปแล้ว ปัจจุบันมีผู้เยี่ยมชมร้านออนไลน์ราว 30% ที่มาจากต่างประเทศ
แบรนด์ชั้นนำในวันนี้ใช้เครื่องมือด้านอีคอมเมิร์ซอินเตอร์เพื่อมอบประสบการณ์ช้อปปิ้งที่ดีให้ลูกค้าทั่วโลก ในบทความนี้ เราจะพาดูวิธีจัดการระบบชำระเงินในแต่ละภูมิภาค รวมถึงการตั้งค่าการจัดส่งข้ามพรมแดน เพื่อช่วยให้คุณขยายธุรกิจสู่ระดับโลกได้อย่างราบรื่น
อีคอมเมิร์ซอินเตอร์คืออะไร?
อีคอมเมิร์ซอินเตอร์คือการใช้ร้านขายของออนไลน์เพื่อขายสินค้าไปยังต่างประเทศ ให้ผู้บริโภคในตลาดต่างๆ สามารถซื้อสินค้าได้ข้ามพรมแดน ระบบชำระเงินระดับโลกและเครือข่ายขนส่งสากลช่วยให้การซื้อขายและส่งมอบออเดอร์ต่างประเทศเป็นไปอย่างราบรื่น แม้แต่ละประเทศจะมีข้อกำหนดด้านศุลกากรและกฎการนำเข้าที่แตกต่างกันก็ตาม
ด้วยฟีเจอร์ต่างๆ ของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ทำให้การขายข้ามประเทศกลายเป็นเรื่องที่ผู้ค้าทุกรูปแบบ รวมถึงร้านดรอปชิป สามารถเข้าถึงได้ง่ายกว่าเดิม ร้านออนไลน์ที่ขายต่างประเทศสามารถเปิดให้ลูกค้าเข้ามาช้อปได้ตลอด 24 ชั่วโมง และเข้าถึงได้จากทุกที่ในโลก
แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซหลายเจ้า อย่าง Shopify ยังรองรับการทำโลคัลไลซ์เซชันด้วย ซึ่งหมายถึงการปรับภาษาของเว็บไซต์ แคตตาล็อกสินค้า และสกุลเงินให้ตรงกับความคาดหวังของลูกค้าในแต่ละภูมิภาค
วิธีวางกลยุทธ์อีคอมเมิร์ซอินเตอร์ให้พร้อมขยายสู่ตลาดต่างประเทศ
การบุกตลาดต่างประเทศเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น แต่การขยายยอดขายให้ได้ผลจริงต้องอาศัยกลยุทธ์ที่ดี เพื่อให้คุณมอบประสบการณ์ที่ราบรื่นให้ลูกค้าต่างประเทศได้เหมือนกับลูกค้าในประเทศ
1. กำหนดตลาดต่างประเทศที่ต้องการขยาย
ตลาดแต่ละประเทศทั่วโลกมีพฤติกรรมการค้นหาและการซื้อที่แตกต่างกัน ทำให้ผู้ขายส่วนใหญ่เลือกขยายธุรกิจทีละภูมิภาคตามข้อมูลที่เห็นจริง
เป้าหมายของขั้นตอนนี้คือการมองหาสัญญาณความต้องการสินค้าของคุณจากลูกค้าต่างประเทศ แล้วใช้ข้อมูลเหล่านั้นเลือก 1–2 ตลาดที่มีศักยภาพสูงที่สุดเพื่อเริ่มต้นขยายธุรกิจ
เครื่องมือวิจัยตลาดที่ช่วยได้ มีดังนี้
- Google Trends: ใช้ค้นหาความนิยมของหัวข้อต่างๆ หรือดูว่าผู้คนในตลาดเป้าหมายของคุณกำลังเสิร์ชหาอะไรอยู่
- Shopify Analytics: ช่วยระบุตลาดต่างประเทศใหม่ๆ ได้จากรายงาน sessions by location ซึ่งบอกว่าผู้เข้าชมและลูกค้าของคุณมาจากที่ใด หากมีทราฟฟิกหรือยอดขายจากบางประเทศอย่างต่อเนื่อง แสดงว่าพื้นที่นั้นอาจพร้อมสำหรับการขยายธุรกิจของคุณ
- UserLoop หรือ POWR: หากคุณมีลูกค้าต่างประเทศอยู่แล้ว แต่ยังไม่มีแผนเจาะตลาดแบบจริงจัง เครื่องมือเหล่านี้ช่วยเก็บฟีดแบ็กจากลูกค้าต่างชาติที่เคยซื้อไปแล้วได้ เช่น ประสบการณ์ใดที่ควรปรับปรุง? อะไรจะทำให้พวกเขากลับมาซื้ออีก?
หากตอนนี้เว็บอีคอมเมิร์ซอินเตอร์ของคุณยังไม่มีผู้เข้าชมหรือลูกค้าต่างประเทศ ไม่ต้องกังวลไป การเริ่มต้นทำ cross-border ecommerce มักจะราบรื่นกว่าเมื่อเลือกประเทศที่ใกล้กัน ใช้ภาษาเดียวกัน หรือมีพฤติกรรมผู้บริโภคคล้ายกัน
ตัวอย่างเช่น หากธุรกิจของคุณอยู่ในแคนาดา สหรัฐอเมริกาก็เป็นตัวเลือกแรกที่สมเหตุสมผลสำหรับการขยายตลาดต่างประเทศ

2. ทำให้ลูกค้าต่างประเทศชำระเงินได้ง่ายที่สุด
มีนักช้อปออนไลน์มากถึง 14% ที่ละทิ้งตะกร้าสินค้าเมื่อเห็นราคารวมไม่ชัดเจนในขั้นตอนชำระเงิน ซึ่งสะท้อนว่าการแสดงราคาเป็นสกุลเงินท้องถิ่นมีผลอย่างมากต่อความสบายใจและความมั่นใจของลูกค้า
Shopify Payments ช่วยให้ลูกค้าสามารถเลือกดูสินค้า ชำระเงิน และรับเงินคืนเป็นสกุลเงินท้องถิ่นได้ทันที ระบบจะคำนวณราคาให้โดยอัตโนมัติตามอัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบัน หรือผู้ขายจะตั้ง “ราคาท้องถิ่นแบบกำหนดเอง” เพื่อหลีกเลี่ยงราคาที่ผันผวนบ่อยๆ ก็ได้
หากคุณขายสินค้าในหลายสกุลเงิน การทำให้ประสบการณ์การท่องเว็บของลูกค้าง่ายที่สุดเป็นสิ่งสำคัญ คุณอาจตั้งให้ร้าน redirect ลูกค้าไปยังซับโดเมนที่ถูกต้องตามตำแหน่ง IP โดยอัตโนมัติ หรือใช้แอป Geolocation ให้ลูกค้าเลือกภูมิภาคเอง เพื่อให้ควบคุมการแสดงผลของร้านได้ตามต้องการ เมื่อลูกค้าไปถึงหน้าชำระเงิน ระบบก็จะแสดงช่องทางการชำระเงินที่รองรับในประเทศนั้นๆ โดยอัตโนมัติ
ภาษีและค่าธรรมเนียมระหว่างประเทศ
ตลาดแต่ละประเทศทั่วโลกมีความคาดหวังแตกต่างกันเกี่ยวกับการแสดงภาษีและการชำระภาษีเมื่อซื้อสินค้าออนไลน์
ในอเมริกาเหนือ ราคาสินค้ามักแสดงแบบ ไม่รวมภาษี และจะคำนวณภาษีตามที่อยู่จัดส่งของลูกค้าในขั้นตอนเช็กเอาต์ แต่ในยุโรป เอเชียแปซิฟิก และหลายภูมิภาคอื่นๆ กฎหมายกำหนดให้ราคาสินค้าต้องรวมภาษีทั้งหมดแล้ว
💡 ทิปส์: ผู้ขายบน Shopify สามารถตั้งค่าการแสดงราคาแบบรวมภาษีหรือไม่รวมภาษี ตามตำแหน่งของลูกค้าได้
เมื่อต้องขายให้ลูกค้าต่างประเทศ คุณควรพิจารณาเรื่องอากรนำเข้า ภาษีนำเข้า และภาษีศุลกากรด้วย คุณอาจเลือกให้ลูกค้าเป็นผู้รับผิดชอบค่าธรรมเนียมเหล่านี้เอง หรือคุณออกค่าใช้จ่ายแทนโดยเปิดให้ลูกค้าชำระค่าธรรมเนียมล่วงหน้าในขั้นตอนชำระเงิน อีกทางเลือกหนึ่งคือการเพิ่มเครื่องคำนวณภาษีและอากร ในหน้าเช็กเอาต์ เพื่อความโปร่งใส
ภาษีศุลกากร (Tariffs) คือภาษีที่เรียกเก็บจากสินค้าที่นำเข้า ซึ่งอาจส่งผลอย่างมากต่อกลยุทธ์การตั้งราคาและกำไรของคุณ อัตราภาษีจะแตกต่างกันตามประเภทสินค้าและประเทศต้นทาง และอาจมีการเปลี่ยนแปลงบ่อยครั้งตามนโยบายการค้า ดังนั้นผู้ขายที่ทำตลาดต่างประเทศจึงควรติดตามข้อมูลเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอ
ด้านล่างนี้คือแหล่งข้อมูลแบบรวดเร็วสำหรับค้นหากฎระเบียบเกี่ยวกับการนำเข้า ภาษีอากร และภาษีขายของตลาดต่างประเทศยอดนิยม
สำหรับผู้ขายที่นำสินค้าส่งเข้าไปในสหรัฐอเมริกา การระบุรหัส HS (Harmonized System Codes) ให้ถูกต้องเป็นเรื่องสำคัญมาก รหัสตัวเลขมาตรฐานนี้ใช้กำหนดว่าเมื่อสินค้าของคุณผ่านชายแดน จะถูกจัดเก็บอัตราภาษีศุลกากรแบบใด
หากใช้รหัส HS ไม่ถูกต้อง อาจทำให้เกิดปัญหาต่างๆ เช่น การจัดส่งล่าช้า ค่าธรรมเนียมที่ไม่คาดคิด หรือแม้กระทั่งบทลงโทษทางกฎหมาย ดังนั้นจึงควรตรวจสอบให้ถูกต้องตั้งแต่เริ่มต้นเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาเหล่านี้ในภายหลัง
3. บริการจัดส่งและเติมสต็อกให้ลูกค้าต่างประเทศ
เมื่อร้านของคุณแสดงให้เห็นว่าพร้อมดูแลลูกค้าทั่วโลกด้วยตัวเลือกการจัดส่งที่เหมาะกับแต่ละภูมิภาค ก็เท่ากับส่งสัญญาณว่าลูกค้าทุกคนได้รับการดูแลระดับ VIP
การจัดส่งข้ามพรมแดนมักมีต้นทุนสูงกว่าการส่งภายในประเทศ แต่คุณสามารถลดภาระค่าใช้จ่ายให้ลูกค้าได้ด้วยวิธีต่อไปนี้
- วิจัยค่าขนส่งและแจ้งอย่างโปร่งใส: ค้นหาผู้ให้บริการจัดส่งที่เชื่อถือได้และให้บริการในประเทศที่คุณต้องการขาย พร้อมสื่อสารค่าใช้จ่ายกับลูกค้าอย่างชัดเจน หากคุณมีอัตราค่าส่งต่างประเทศแบบตายตัว (flat rate) ก็ควรอธิบายให้ลูกค้ารู้ว่าพวกเขาจ่ายอะไรและทำไม
- ระบุเวลาจัดส่งให้ชัดเจน: ลูกค้าไม่อยากรอของนาน โดยเฉพาะถ้าไม่มีวันที่คาดว่าจะได้รับสินค้า ดังนั้นควรระบุเวลาในการจัดส่งสำหรับต่างประเทศคู่กับเรตราคาค่าส่ง เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นให้ผู้ซื้อ
- รวมค่าจัดส่งไว้ในราคาสินค้า: ผู้ขายบางรายตั้งราคาสินค้าให้สูงขึ้นเพื่อครอบคลุมค่าจัดส่งและค่าบรรจุภัณฑ์ วิธีนี้ช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น เพราะค่าจัดส่งไม่ซับซ้อน
- ปรับไลน์สินค้าให้เหมาะกับการส่งต่างประเทศ: ควรหลีกเลี่ยงสินค้าที่ใหญ่เทอะทะหรือมีต้นทุนขนส่งสูงเกินไป ใช้ shipping profiles ของ Shopify เพื่อกำหนดว่าสินค้าใดส่งไปที่ไหนได้บ้าง ป้องกันปัญหาด้านลอจิสติกส์ในอนาคต
- ใช้บริการจากมืออาชีพ: บริษัทตัวกลางด้านศุลกากรเชี่ยวชาญเรื่องการนำเข้า–ส่งออก และช่วยจัดการกฎระเบียบที่ซับซ้อน เช่น Incoterms ลดความเครียดจากการบริหารการจัดส่งต่างประเทศด้วยตัวเอง
การเลือกพาร์ตเนอร์ด้านขนส่งมีผลโดยตรงต่อความเร็วและต้นทุนของการส่งออก ตัวอย่างเช่น แบรนด์แต่งหน้า Glamlite เคยใช้ USPS สำหรับจัดส่งต่างประเทศ แต่เมื่อเปิดใช้ Managed Markets และเปลี่ยนไปใช้ DHL ยอดขายต่างประเทศก็เพิ่มขึ้นกว่าสองเท่า
ผู้ก่อตั้ง Gisselle Hernandez กล่าวว่า “การขายต่างประเทศในระดับที่เราทำอยู่ตอนนี้เป็นไปไม่ได้เลยถ้าไม่มี Managed Markets เราไม่สามารถแข่งขันกับแบรนด์ในภูมิภาคอื่นได้ เพราะต้นทุนการส่งของเราสูงกว่ามาก ตอนนี้สนามแข่งขันเท่ากันแล้ว มันคือเวลาเริ่มเกม คุณตีมูลค่ามันเป็นราคาไม่ได้เลย”
💡 ทิปส์: Shopify ให้คุณตั้งค่า shipping zones แยกตามภูมิภาค เพื่อกำหนดอัตราค่าส่งและบริการที่ต่างกันได้อย่างเป็นระบบและยืดหยุ่น

4. ปรับเว็บอีคอมเมิร์ซอินเตอร์ให้เหมาะกับลูกค้าแต่ละประเทศ
การทำโลคัลไลซ์เว็บไซต์หมายถึงการทำให้ร้านของคุณเข้าถึงได้ง่ายและเป็นมิตรกับผู้ซื้อในตลาดต่างประเทศ ไม่ใช่แค่การแปลข้อความเท่านั้น แต่รวมถึงการปรับเลย์เอาต์ การตั้งซับโดเมนเฉพาะประเทศ และการจัดระเบียบเนื้อหาให้เหมาะกับแต่ละภูมิภาคด้วย
โดเมนระหว่างประเทศและ SEO
การมีโดเมนเฉพาะประเทศช่วยให้ลูกค้าต่างชาติรู้สึกมั่นใจว่ากำลังเข้าชมร้านในพื้นที่ของตัวเอง และยังช่วยให้การแสดงราคาสกุลเงินท้องถิ่นง่ายขึ้นด้วย
ตัวอย่างเช่น แบรนด์เสื้อผ้าออกกำลังกาย Gymshark ใช้โดเมนหลัก gymshark.com สำหรับลูกค้าในสหรัฐฯ และมีโดเมนเฉพาะประเทศสำหรับตลาดอื่นๆ เช่น
- au.gymshark.com (ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์)
- ca.gymshark.com (แคนาดา)
- de.gymshark.com (เยอรมนี)
-
uk.gymshark.com (สหราชอาณาจักร)
💡 ทิปส์: สำหรับเจ้าของร้าน Shopify การตั้งค่าโดเมนต่างประเทศทำได้ง่ายมาก Shopify จะจัดการงาน SEO ที่ซับซ้อนให้อัตโนมัติ เช่น การสร้างแท็ก hreflang ที่จำเป็น ทำให้แต่ละโดเมนถูกจับคู่กับตลาดที่ถูกต้อง และทำให้ราคาที่แสดงบนหน้าผลการค้นหาถูกต้องตามสกุลเงินของประเทศนั้นๆ
Gymshark จะพาผู้ซื้อจากต่างประเทศไปยังหน้าร้านเฉพาะประเทศที่ถูกต้องโดยอัตโนมัติ
การแปลเนื้อหาและการปรับให้เข้ากับวัฒนธรรม
หากตลาดเป้าหมายของคุณใช้ภาษาอื่น ควรดูว่าลูกค้าน่าจะอยากช้อปด้วยภาษาถิ่นของตัวเองหรือไม่
ร้านค้าบน Shopify รองรับการขายได้สูงสุด 20 ภาษา คุณสามารถเปิดใช้งานหลายภาษาได้จากหน้าแอดมิน Shopify และเมื่อผู้เข้าชมเปิดไปยังหน้าที่มีเวอร์ชันแปลไว้แล้ว ร้านของคุณจะเปลี่ยนเป็นภาษานั้นให้อัตโนมัติ
วิธีเปิดใช้งานหลายภาษาบน Shopify
- เพิ่มภาษาใหม่ ในเมนูตั้งค่าของร้าน
- ระบบจะเสนอให้ติดตั้งแอป Translate & Adapt โดยอัตโนมัติ
แม้ว่าแอปแปลอัตโนมัติจะช่วยให้ทำงานสะดวกขึ้น แต่คุณอาจยังต้องปรับแก้หรือแปลเนื้อหาด้วยตัวเองบางส่วน ซึ่งอาจเป็นเรื่องยากหากคุณไม่ถนัดภาษาของตลาดเป้าหมาย
คุณมี 2 ตัวเลือก
- ใช้โปรแกรมแปลอัตโนมัติอย่าง Deepl เพื่อสร้างเนื้อหาภาษาเป้าหมายแบบรวดเร็ว
- จ้างนักเขียนหรือผู้แปลมืออาชีพ ที่ใช้ภาษาเป้าหมายได้คล่อง ผ่านไดเรกทอรี Shopify Partners
เมื่อเริ่มเจาะตลาดใหม่ คุณอาจใช้การแปลอัตโนมัติสำหรับรายละเอียดสินค้าก่อน แล้วค่อยลงทุนทำเนื้อหาที่แปลแบบละเอียดด้วยมนุษย์เมื่อเห็นแนวโน้มยอดขายของตลาดนั้นชัดเจนขึ้น
สิ่งที่ควรให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกคือการแปล เพจที่มีทราฟฟิกสูง รายละเอียดสินค้า เนื้อหาด้านกฎหมาย และข้อความสื่อสารกับลูกค้า เช่น อีเมลแจ้งเตือน เพื่อให้ประสบการณ์ทั้งหมดของลูกค้าราบรื่นและสอดคล้องกัน
Jeremiah Curvers ผู้ร่วมก่อตั้งและ CEO ของ Polysleep อธิบายว่า “แต่ละรัฐต้องการข้อความสื่อสารที่ต่างกัน ผู้คนในฮาวายกับในเท็กซัสตอบสนองต่อแบรนด์ต่างกันตามปัจจัยด้านเศรษฐกิจ การเมือง และอีกหลายอย่าง”
เขายังแชร์ไว้ในรายการ Shopify Masters ว่า “มีหลุมพรางอย่างหนึ่งคือคิดว่าถ้ามีเพอร์โซนาและมีสินค้าที่ดีแล้ว มันจะใช้ได้ทุกที่ทุกตลาด อย่าคิดแบบง่ายเกินไป แต่ก็อย่าทำให้ซับซ้อนเกินจำเป็น และอย่าคิดว่าเพอร์โซนาเหมือนกันหมดทุกแห่ง”
เว็บไซต์เวอร์ชันแคนาดาของ Polysleep มีการแปลเนื้อหาเป็นภาษาฝรั่งเศสด้วย
5. เลือกการตลาดและการโฆษณาให้เหมาะกับแต่ละประเทศ
เมื่อคุณทำโลคัลไลซ์ร้านค้าเรียบร้อยแล้ว ขั้นต่อไปคือการทำการตลาดให้เข้าถึงลูกค้าต่างประเทศอย่างแท้จริง ไม่ว่าคุณจะใช้ช่องทางโฆษณาแบบใด สิ่งสำคัญคือต้องพาลูกค้าต่างประเทศไปยังเวอร์ชันเว็บไซต์ที่ถูกต้องของพวกเขาเสมอ
สร้างแคมเปญการตลาดที่ออกแบบเฉพาะภูมิภาคสำหรับแต่ละแพลตฟอร์มที่คุณใช้ จะเป็นโซเชียลมีเดีย อีเมล หรือโฆษณาแบบจ่ายเงินก็ตาม เพราะการนำแคมเปญเดิมมาใช้ซ้ำโดยไม่ปรับให้เข้ากับภูมิภาคมักทำให้ประสิทธิภาพลดลง ทั้งอัตราคลิกและการมีส่วนร่วมก็ต่ำตามไปด้วย
แพลตฟอร์มโฆษณาโซเชียลอย่าง Meta Ads Manager ช่วยแบ่งกลุ่มผู้ชมตามประเทศและยิงโฆษณาเฉพาะกลุ่มได้ง่าย อย่าลืมปรับเนื้อหาโฆษณา (ad copy) และภาพให้โลคัลไลซ์ พร้อมทั้งตรวจสอบว่า URL ปลายทางเป็นโดเมนระหว่างประเทศที่ถูกต้อง
หากแต่ละประเทศมีกลุ่มผู้ติดตามมากพอ คุณอาจสร้างบัญชีโซเชียลมีเดียแยกตามภูมิภาค ซึ่งช่วยให้เข้าถึงลูกค้าได้ในระดับที่ใกล้ชิดกว่าและโพสต์เนื้อหาที่ตรงใจมากกว่า ตัวอย่างเช่นแบรนด์ Nuby ที่ใช้บัญชี Instagram @nubyuk เพื่อสื่อสารกับผู้ชมในสหราชอาณาจักรโดยเฉพาะ
ข้อดีและความท้าทายของการทำอีคอมเมิร์ซอินเตอร์
การพาธุรกิจของคุณออกสู่ตลาดต่างประเทศสามารถสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดดได้ แต่ก็อาจมาพร้อมความท้าทายบางอย่างที่แผนธุรกิจของคุณอาจไม่ได้คาดคิดไว้ล่วงหน้า นี่คือสิ่งที่คุณควรรู้เกี่ยวกับโอกาสและอุปสรรคของการทำการค้าออนไลน์ข้ามพรมแดน
ข้อดีของการทำอีคอมเมิร์ซในหลายประเทศ
การขายสินค้าไปต่างประเทศมีข้อได้เปรียบหลายอย่าง ได้แก่
- ขยายฐานตลาดอย่างมหาศาล: เมื่อก้าวสู่ตลาดต่างประเทศ ขอบเขตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซอินเตอร์ของคุณจะไม่จำกัดแค่ภูมิภาคเดิมอีกต่อไป คุณสามารถเข้าถึงลูกค้าหลายล้านคนทั่วโลก เพิ่มศักยภาพยอดขายออนไลน์ได้อย่างมหาศาล
- กระจายความเสี่ยงธุรกิจ: การขายในหลายประเทศช่วยทำให้ธุรกิจมีเสถียรภาพมากขึ้น เพราะความผันผวนทางเศรษฐกิจไม่ได้เกิดขึ้นเหมือนกันทุกภูมิภาค การกระจายความเสี่ยงนี้ช่วยปกป้องรายได้จากยอดขายตก ผู้เล่นหน้าใหม่ในตลาด และการเปลี่ยนแปลงกฎหมายหรือภาษีในบางประเทศ
- เพิ่มการมองเห็นและภาพลักษณ์ของแบรนด์: เมื่อแบรนด์ของคุณปรากฏในหลายตลาด จะช่วยเพิ่มการรับรู้และสร้างความน่าเชื่อถือ แถมยังอาจส่งผลดีต่อชื่อเสียงแบรนด์ในประเทศคุณเองด้วย
- เรียนรู้พฤติกรรมลูกค้าหลากหลาย: การขายในหลายตลาดทำให้คุณเข้าใจความชอบและรูปแบบการซื้อของผู้บริโภคที่แตกต่างกัน ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญสำหรับวางกลยุทธ์อีคอมเมิร์ซระหว่างประเทศ การพัฒนาสินค้า และการตลาดในอนาคต
ความท้าทายของการทำอีคอมเมิร์ซอินเตอร์
ข้อเสียหรืออุปสรรคของการขายสินค้าไปต่างประเทศ ได้แก่
- โลจิสติกส์ที่ซับซ้อน: การจัดการการจัดส่งข้ามพรมแดนอาจซับซ้อนเนื่องจากกฎระเบียบ ค่าธรรมเนียม และภาษีที่แตกต่างกันในแต่ละประเทศ สิ่งนี้อาจเพิ่มงานด้านการดำเนินงานและอาจต้องใช้บริการผู้เชี่ยวชาญด้านการขนส่งระหว่างประเทศ
- ความผันผวนของค่าเงิน: การจัดการกับหลายสกุลเงินอาจทำให้ร้านค้าของคุณมีความเสี่ยงทางการเงินที่เพิ่มขึ้น ตั้งราคาให้เหมาะสมและวางระบบควบคุมทางการเงินที่เข้มงวด เพื่อป้องกันการสูญเสียกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวน
- ความแตกต่างทางวัฒนธรรม: การทำตลาดและขายสินค้าในประเทศที่มีบริบททางวัฒนธรรมแตกต่างจากของคุณอาจเป็นเรื่องท้าทาย แบรนด์ต้องสื่อสารให้ตรงกับความชอบของผู้บริโภคท้องถิ่น ซึ่งบางครั้งอาจต้องปรับเนื้อหา สินค้า หรือแม้แต่ดีไซน์ใหม่ทั้งหมด
- ข้อกฎหมายและการปฏิบัติตามกฎระเบียบ: แต่ละประเทศมีกฎหมายการค้า การคุ้มครองข้อมูล และสิทธิผู้บริโภคที่ไม่เหมือนกัน การปฏิบัติตามข้อกำหนดเหล่านี้อาจใช้ทรัพยากรจำนวนมาก และต้องพิจารณาด้านกฎหมายอย่างละเอียด รวมถึงอาจต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญหรือที่ปรึกษาในพื้นที่นั้นๆ
การทำอีคอมเมิร์ซระดับนานาชาติ ประเด็นด้านกฎหมายและการปฏิบัติตามข้อบังคับ
การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (GDPR, CCPA และกฎหมายอื่นๆ)
ปัจจุบันมีประชากรกว่า 82% ของโลก ที่อยู่ภายใต้กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หากธุรกิจไม่ปฏิบัติตามกฎเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนการเก็บข้อมูล จัดเก็บ หรือใช้งานข้อมูลลูกค้า อาจถูกปรับเป็นจำนวนมากและส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์แบรนด์ได้
แต่การขายในหลายประเทศก็ทำให้เรื่องการคุ้มครองข้อมูลซับซ้อนขึ้น เพราะแต่ละภูมิภาคมีกฎไม่เหมือนกัน เช่น
- GDPR ใช้กับผู้บริโภคในสหภาพยุโรป
- CCPA คุ้มครองข้อมูลของผู้พำนักในรัฐแคลิฟอร์เนีย
- LGPD ใช้กับผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในบราซิล
การใช้หน้าร้านเฉพาะประเทศและ แอปด้านความเป็นส่วนตัวสามารถช่วยให้คุณจัดการกฎหมายเหล่านี้ได้ดีขึ้น ระบบจะตรวจจับตำแหน่งของผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์และแสดงข้อมูลที่จำเป็นเพื่อให้สอดคล้องตามกฎหมาย เช่น ป๊อปอัปคุกกี้และนโยบายความเป็นส่วนตัวที่เหมาะกับแต่ละภูมิภาค
สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา
ทรัพย์สินทางปัญญา (IP) ถือเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่มีค่าสูงที่สุดของทุกธุรกิจ เพราะเป็นเกราะคุ้มกันทางกฎหมายสำหรับไอเดีย ผลิตภัณฑ์ และทรัพย์สินที่คุณสร้างขึ้น แต่การคุ้มครอง IP ไม่ได้ครอบคลุมทั่วโลกโดยอัตโนมัติ คุณอาจต้องยื่นขอสิทธิบัตร ลิขสิทธิ์ หรือเครื่องหมายการค้าในทุกประเทศที่ต้องการขายสินค้า
ความท้าทาย: ไม่มีการรับประกันว่าคำขอของคุณจะได้รับการอนุมัติ โดยเฉพาะในตลาดที่มีผู้เล่นรายเดิมอยู่แล้ว อาจมีธุรกิจท้องถิ่นใช้ชื่อที่คุณต้องการจดทะเบียนมาก่อน ซึ่งธุรกิจเหล่านั้นสามารถ คัดค้านการจดทะเบียนของคุณได้—และกระบวนการคัดค้านนี้มีค่าใช้จ่ายสูง ใช้เวลานานหลายปี และอาจทำให้การขยายตลาดต่างประเทศของคุณล่าช้า
เพื่อให้การปกป้อง IP ในต่างประเทศมีประสิทธิภาพมากขึ้น แนวทางที่ดีที่สุดคือการทำงานร่วมกับทนายที่เชี่ยวชาญด้านทรัพย์สินทางปัญญาในประเทศที่คุณต้องการเข้าไปขาย พวกเขาจะช่วยตรวจสอบว่าในตลาดนั้นมีการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าหรือสิทธิบัตรใดที่อาจกระทบต่อสิทธิของคุณ พร้อมช่วยวางแผนให้คุณคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาได้ถูกต้องตามกฎหมายในภูมิภาคนั้นๆ
ข้อกำหนดด้านผลิตภัณฑ์และมาตรฐานความปลอดภัย
แต่ละประเทศมีกฎระเบียบด้านความปลอดภัยของสินค้าและข้อกำหนดบนฉลาก (labeling requirements) ที่ธุรกิจต้องปฏิบัติตามเมื่อขายสินค้าให้ผู้บริโภคในพื้นที่นั้น
ตัวอย่างเช่น หากคุณขายของเล่นเด็กผ่านร้านออนไลน์ต่างประเทศ สินค้าของคุณต้องปฏิบัติตามกฎหมายต่อไปนี้
- Toy Safety Regulations 2011 ในสหราชอาณาจักร
- Consumer Product Safety Improvement Act ในสหรัฐอเมริกา
- กฎข้อบังคับด้านของเล่นในแคนาดา ที่ต้องมีคำเตือนบนฉลากสองภาษา (อังกฤษและฝรั่งเศส)
ดังนั้น การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายในแต่ละประเทศที่คุณต้องการขาย โดยเฉพาะผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องถือเป็นเรื่องสำคัญ พวกเขาจะช่วยให้คุณเตรียมความพร้อมล่วงหน้า ลดความเสี่ยงที่จะต้องเปลี่ยนฉลากหรือแก้ไขตัวสินค้าใหม่หลังขยายตลาดไปแล้ว
การบริหารความเสี่ยง
อีคอมเมิร์ซระดับนานาชาติมีองค์ประกอบหลายอย่างที่บางครั้งอยู่นอกเหนือการควบคุมของธุรกิจ เช่น
- การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบการนำเข้าของแต่ละประเทศ
- รสนิยมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป
- อัตราแลกเปลี่ยนที่อาจร่วงลงได้ในชั่วข้ามคืน
วิธีที่ดีที่สุดในการลดความเสี่ยงคือเข้าใจความเสี่ยงเหล่านั้นอย่างถ่องแท้ ให้ทำ risk assessment เพื่อดูว่าปัจจัยไหนกระทบธุรกิจมากที่สุด แล้วค่อยวางมาตรการป้องกันย้อนกลับไปจากความเสี่ยงนั้น
ตัวอย่างเช่น หากธุรกิจของคุณตั้งอยู่ในสหรัฐฯ แต่ขายให้ลูกค้าในยุโรป ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนอาจเป็นความเสี่ยงใหญ่ที่สุด ก็อาจใช้แอปแปลงสกุลเงินแบบเรียลไทม์เพื่อให้ลูกค้าชำระเงินด้วยสกุลเงินท้องถิ่นตามอัตราแลกเปลี่ยนล่าสุด ช่วยลดความเสียหายด้านรายได้จากอัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวนได้
กลยุทธ์การทำการตลาดระดับนานาชาติขั้นสูง
อินฟลูเอนเซอร์มาร์เก็ตติ้งในตลาดต่างประเทศ
อินฟลูเอนเซอร์ยังคงเป็นหนึ่งในแหล่งแนะนำสินค้าที่ผู้บริโภคเชื่อใจมากที่สุด แต่ไม่ใช่อินฟลูเอนเซอร์ทุกคนจะเข้าถึงผู้ชมระดับโลกได้ ส่วนใหญ่จะมีฐานผู้ติดตามเฉพาะกลุ่มและมักกระจุกตัวอยู่ในภูมิภาคใดภูมิภาคหนึ่งเท่านั้น
เมื่อคุณกำลังขยายธุรกิจไปยังตลาดต่างประเทศ ควรพิจารณาว่าครีเอเตอร์คนใดมีอิทธิพลมากที่สุดในพื้นที่นั้น การร่วมงานกับพวกเขาไม่ได้แค่เปิดโอกาสให้เข้าถึงผู้ชมท้องถิ่นเท่านั้น แต่อินฟลูเอนเซอร์ต่างประเทศยังสามารถช่วยให้คุณเข้าใจบริบท วัฒนธรรม และพฤติกรรมผู้บริโภคเฉพาะประเทศได้ลึกขึ้น
ข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้มีค่าและจะช่วยให้คุณทำการตลาดในภูมิภาคนั้นได้ง่ายขึ้น ด้วยกลยุทธ์ที่ลึกกว่าแค่การใช้อินฟลูเอนเซอร์เพียงอย่างเดียว
การทำแอฟฟิลิเอตมาร์เก็ตติ้งระดับนานาชาติ
การขายในประเทศใหม่มักรู้สึกเหมือนเริ่มต้นจากศูนย์ ไม่มีการรับรู้แบรนด์ ไม่มีฐานลูกค้า และไม่มีชื่อเสียงให้ต่อยอด แต่แอฟฟิลิเอตคือวิธีแก้ปัญหานั้น พวกเขาช่วยเปลี่ยนลูกค้าที่มีอยู่แล้วให้กลายเป็นทูตแบรนด์ โดยตอบแทนด้วยค่าคอมมิชชันเมื่อมีคนในเครือข่ายของพวกเขาซื้อสินค้าผ่านลิงก์แนะนำ
ตัวอย่างเช่น แบรนด์อุปกรณ์ช่วยนอนสำหรับเด็ก Moonboon ทำงานร่วมกับครีเอเตอร์กว่า 300 คนใน 5 ตลาดยุโรป และใช้ Shopify Collabs เพื่อช่วยติดตามยอดขายและจ่ายค่าคอมมิชชันในหลายสกุลเงินอย่างเป็นระบบ
โปรแกรมแอฟฟิลิเอตของ Moonboon ช่วยสร้างยอดขายกว่า 1 ล้านดอลลาร์ และประมาณ 10% ของยอดขายสุทธิรายเดือนทั้งหมด มาจากช่องทางนี้ ส่งผลให้ได้อัตราผลตอบแทน (ROI) จากการทำงานกับครีเอเตอร์และอินฟลูเอนเซอร์ถึง 6.5 เท่า
ผู้อำนวยการแบรนด์ Robert V. S. Preuss อธิบายว่า “Shopify Collabs ทำให้กระบวนการคัดเลือกและเซ็นสัญญากับครีเอเตอร์รายใหม่ง่ายขึ้น ดแดชบอร์ดใช้งานง่ายมาก และให้ภาพรวมของโปรแกรมแอฟฟิลิเอตและยอดขายได้แบบครบถ้วน เราชอบความเรียบง่ายของเครื่องมือนี้มาก และใช้งานทุกวันเลย”
เขายังเสริมว่า “มันเป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยม ช่วยให้เราขยายงานมาร์เก็ตติ้งส่วนล่างของฟันเนลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยครีเอเตอร์ที่ชื่นชอบในแบรนด์และสินค้าของเราอย่างแท้จริง”
ใช้ประโยชน์จากโซเชียลมีเดียที่คนในประเทศนั้นๆ นิยม
แม้ว่า Instagram, TikTok และ YouTube จะเป็นโซเชียลมีเดียยอดนิยมทั่วโลก แต่ก็ไม่ได้เข้าถึงผู้ใช้ทุกประเทศเสมอไป และถึงแม้จะมีฐานผู้ใช้งานจำนวนมากในตลาดที่คุณต้องการขยายเข้าไป ก็อาจมีแพลตฟอร์มท้องถิ่นอื่นๆ ที่ควรรวมไว้ในกลยุทธ์การตลาดระดับนานาชาติของคุณเช่นกัน
ตัวอย่างเช่น หากคุณขายสินค้าในจีน แอปข้อความ WeChat มีผู้ใช้งานกว่า 1.33 พันล้านคนต่อเดือน หากคุณต้องการขยายและขายในประเทศไทย ลองพิจารณาฟอรัมออนไลน์ Pantip ซึ่งมีผู้เข้าชมเกือบ 80 ล้านครั้งต่อเดือน
นอกจากการเลือกแพลตฟอร์มอย่างมีกลยุทธ์แล้ว ควรให้ความสำคัญกับความชอบของตลาดเป้าหมายในพื้นที่นั้นๆ ใช้ภาษาท้องถิ่น ร่วมงานกับอินฟลูเอนเซอร์ท้องถิ่น และติดตามเทรนด์วัฒนธรรม เพื่อเข้าถึงลูกค้าทั่วโลกผ่านโซเชียลมีเดียได้อย่างมีประสิทธิภาพ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับอีคอมเมิร์ซอินเตอร์
เราควรรู้อะไรบ้างก่อนเริ่มทำอีคอมเมิร์ซอินเตอร์
การขายสินค้าข้ามพรมแดนต้องทำความเข้าใจเรื่องกฎศุลกากร ภาษี และความต้องการของลูกค้าที่แตกต่างกัน ธุรกิจต้องบริหารลอจิสติกส์การจัดส่ง รวมถึงรับชำระเงินหลายสกุลเงิน นอกจากนี้ การปรับกลยุทธ์การตลาดให้เข้ากับวัฒนธรรมและภาษาท้องถิ่นก็สำคัญมากในการเข้าถึงผู้ซื้อในตลาดต่างๆ
จะเริ่มทำอีคอมเมิร์ซระหว่างประเทศได้ยังไง
เริ่มต้นด้วยการใช้ข้อมูลวิเคราะห์เพื่อหาตลาดที่มีความต้องการสินค้าของคุณ จากนั้นทำโลคัลไลซ์เว็บไซต์ เช่น แปลเนื้อหาและรองรับการชำระเงินสกุลเงินท้องถิ่น รวมทั้งศึกษากฎหมายและกระบวนการจัดส่งภาษีของแต่ละประเทศ แพลตฟอร์มอย่าง Shopify มีเครื่องมือช่วยให้ขั้นตอนเหล่านี้ง่ายขึ้นมาก
เราจะขายและส่งสินค้าไปต่างประเทศได้ยังไง
วิธีการทำอีคอมเมิร์ซอินเตอร์ มีองค์ประกอบคือ
- การวิจัยตลาด: ค้นหาว่าสินค้าใดกำลังได้รับความนิยมในแต่ละประเทศ
- การโลคัลไลซ์เว็บไซต์: ปรับภาษาและประสบการณ์ผู้ใช้ให้เหมาะกับวัฒนธรรมในตลาดนั้น
- วิธีชำระเงิน: เพิ่มช่องทางชำระเงินที่ลูกค้าในแต่ละประเทศนิยมเพื่อป้องกันการทิ้งตะกร้า
- การจัดส่งระหว่างประเทศ: จัดระบบค่าส่งและตัวเลือกที่เชื่อถือได้
- การตลาด: ปรับแคมเปญให้เข้ากับรสนิยมท้องถิ่น
- บริการลูกค้า: ให้บริการหลายภาษาและรองรับหลายโซนเวลา
คุ้มมั้ยที่จะทำอีคอมเมิร์ซอินเตอร์
ถือว่าคุ้ม เพราะการทำเว็บขายของออนไลน์ในต่างประเทศช่วยให้ธุรกิจเข้าถึงผู้ซื้อทั่วโลกโดยไม่ต้องมีหน้าร้านจริง แม้ว่าจะมีความท้าทาย เช่น คู่แข่งจำนวนมากหรือความต้องการด้านเทคโนโลยี แต่ศักยภาพการเติบโตและกำไรสูงทำให้อีคอมเมิร์ซเป็นตัวเลือกที่น่าลงทุนทั้งสำหรับธุรกิจใหม่และธุรกิจเดิม
ตัวอย่างของอีคอมเมิร์ซระดับนานาชาติคืออะไร
ตัวอย่างเช่น Gymshark ที่สร้างหน้าร้านเฉพาะประเทศ มีโดเมนตามภูมิภาค แสดงราคาเป็นสกุลเงินท้องถิ่น และแปลเนื้อหาเว็บไซต์ตามภาษาของตลาดนั้นๆ
แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอินเตอร์ที่ดีที่สุดคือแพลตฟอร์มไหน
Shopify เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับผู้ที่ต้องการขายสินค้าไปทั่วโลก ซึ่งฟีเจอร์ Managed Markets สามารถช่วยเรื่องการจัดส่งต่างประเทศ การแปลงสกุลเงิน ปรับหน้าร้านเฉพาะประเทศและเอกสารศุลกากร
Global eCommerce หมายความว่าอะไร
Global ecommerce หมายถึงธุรกิจที่ขายสินค้าให้ลูกค้าต่างประเทศ เช่น ธุรกิจที่ตั้งในสหรัฐอเมริกาและขายสินค้าให้ลูกค้าในแคนาดา ก็ถือเป็นแบรนด์ Global eCommerce เช่นกัน


