Pop-up retail มีมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1298 ในรูปแบบตลาดคริสต์มาสในกรุงเวียนนา ตามมาด้วยตลาดคริสต์มาสสุดครึกครื้นตามเมืองต่างๆ ในยุโรป พร้อมกับการมาถึงของการเดินทางไปขายของตามที่ต่างๆ ร้านขายชุดแฟนซีช่วงเทศกาล และร้านอาหารริมทาง
ทุกที่ที่มีความต้องการค้าขายแบบสั้นๆ ร้านป๊อปอัปก็โผล่ขึ้นมา แล้วก็หายไปอย่างรวดเร็ว
และในปี 2025 ร้านป๊อปอัปได้กลายเป็นอุตสาหกรรมเต็มตัว
ตลาดร้านป๊อปอัปทั่วโลกคาดว่าจะมีมูลค่าถึงประมาณ 3.2 ล้านล้านบาทในปี 2025 ขับเคลื่อนโดยความต้องการการตลาดแบบมีประสบการณ์ การขยายธุรกิจ DTC เข้าสู่พื้นที่จริง และความชอบของเจน Z ที่อยากช้อปปิ้งแบบเจอหน้าจริง
ต่อไปเราจะพาคุณไปรู้ทุกอย่างที่ต้องรู้เพื่อเปิดร้านป๊อปอัปของตัวเองในปี 2025 ทั้งว่ามันคืออะไร ทำไมถึงเวิร์ก คู่มือการตั้งร้านแบบทีละขั้นตอน และตัวอย่างจริงจากแบรนด์ที่ทำได้สำเร็จ
Pop-up retail คืออะไร
ร้านป๊อปอัปเป็นรูปแบบร้านค้าปลีกที่เปิดชั่วคราวในสถานที่เฉพาะ เช่น พื้นที่ว่างในร้านค้า พื้นที่ร้านที่มีอยู่แล้ว หรือในตลาดอาหารและศิลปะ ร้านป๊อปอัปสามารถมาในหลายรูปแบบ เช่น บูธ คีออสก์ หรือร้านขนาดเล็กตั้งอิสระ
ร้านป๊อปอัปสมัยใหม่อย่างที่เรารู้จักเริ่มต้นในปี 1997 ที่ลอสแอนเจลิส เมื่อ Patrick Courrielche ครีเอทีฟไดเรกเตอร์ เปิดงาน Ritual Expo งานที่ถูกขนานนามว่าเป็น “ห้างสุดฮิป” และเป็นงานที่จะจัดขึ้นเพียงวันเดียวเท่านั้น
แนวคิดร้านป๊อปอัป หรือที่เรียกว่า Flash Retailing เป็นการเปิดโอกาสดีๆ ให้แบรนด์ใหม่ที่เกิดในโลกดิจิทัล ได้ทดลองประสบการณ์ช้อปปิ้งใหม่ ๆ ที่แพลตฟอร์มออนไลน์ไม่สามารถทำซ้ำได้ และสิ่งสำคัญคือ ร้านป๊อปอัปช่วยให้คุณเข้าร่วมค้าปลีกแบบออฟไลน์โดยไม่ต้องรับความเสี่ยงทางการเงินหรือพันธะผูกพันกับร้านถาวร เพราะคุณเพียงนำสินค้ามาวางขายในพื้นที่ที่มีอยู่แล้ว
ร้าน Pop-up retail ต่างจากร้านป๊อปสโตร์หรือไม่
คุณอาจเจอทั้งสองคำใช้สลับกัน แต่จริง ๆ แล้วมีความแตกต่างเล็กน้อยในโทนและบริบท
- “ร้านป๊อปอัป” มักใช้มากในสหราชอาณาจักรและประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษนอกสหรัฐฯ และยังเป็นคำที่นิยมในเมืองแฟชั่น เช่น พอร์ตแลนด์ แอลเอ และบรู๊กลิน นิยมในวงการแฟชั่น ศิลปะ และร้านอินดี้ รูปแบบจะออกแนวบูติก เน้นประสบการณ์ที่คัดสรรมากกว่าปริมาณ
- “ร้านป๊อปสโตร์” ในทางกลับกัน จะให้ความรู้สึกทางธุรกิจมากกว่า คุณจะเจอคำนี้ในบริบทธุรกิจแบบดั้งเดิมของสหรัฐฯ โดยเฉพาะในห้างสรรพสินค้าหรือร้านค้าขนาดใหญ่ คำนี้เน้นด้านการค้าและพื้นที่ขายมากกว่าการสร้างบรรยากาศหรือความรู้สึกเฉพาะตัว
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นแนวโน้มโดยรวม ไม่ใช่กฎตายตัว
ทั้งสองคำเป็นที่เข้าใจและยอมรับได้ในหลายภูมิภาค ในการใช้งานจริง การเลือกคำมักขึ้นอยู่กับโทนเสียงของแบรนด์ มาตรฐานของอุตสาหกรรม หรือสิ่งที่อ่านแล้วลื่นไหลและเข้ากับคอนเทนต์การตลาดของคุณมากที่สุด
ประโยชน์ของร้านป๊อปอัปคืออะไร
ในปี 2024 งานด้านคอมมูนิตี้และงานสร้างเครือข่ายถือเป็นกิจกรรมที่สร้างรายได้สูงสุดให้กับธุรกิจในสหรัฐฯ จากการสำรวจเดียวกันยังพบอีกว่า ธุรกิจที่ใช้กลยุทธ์ Event-Led Growth (ELG) ได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า ทั้งในด้านการเพิ่มการมองเห็นของแบรนด์ 63% การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าให้แข็งแกร่งขึ้น 63% และการสร้างหรือขยายพันธมิตรใหม่ ๆ 52%
นี่คือเหตุผลที่ร้านป๊อปอัปตอบโจทย์ผู้ค้าปลีกยุคใหม่
ได้สร้างการเชื่อมต่อแบบเจอตัวจริง
การช้อปปิ้งแบบเจอตัวจริงยังคงเป็นที่ดึงดูดสำหรับผู้บริโภคส่วนใหญ่ ตามการวิจัยในปี 2024 ของ IBM Institute for Business Value การวิจัยที่สำรวจข้อมูลทั่วโลกนี้นี้สำรวจผู้บริโภคกว่า 20,000 คน และรายงานว่า 73% หันไปหาร้านค้าจริงเมื่อซื้อสินค้า
เช่นเดียวกับร้านแบบปกติ ร้าน Pop-up retail เปิดโอกาสให้คุณได้เชื่อมต่อกับลูกค้าแบบเจอตัวจริง มอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ดื่มด่ำและเป็นส่วนตัวมากขึ้น ซึ่งทำให้การสร้างความภักดีต่อแบรนด์เป็นเรื่องที่ง่ายกว่า
Pop-up retail ใช้สร้างกระแสได้
ร้านป๊อปอัปชั่วคราวที่มีวันสิ้นสุดที่ชัดเจนช่วยกระตุ้นความกลัวพลาด (FOMO) ของนักช้อป กลยุทธ์นี้ใช้การตลาดแบบอิงความปรารถนาที่รู้จักกันว่า FOMO marketing วิธีนี้ใช้ธรรมชาติที่มีระยะเวลาจำกัดของร้านป๊อปอัปเพื่อสร้างความรู้สึกเร่งด่วนและความพิเศษเฉพาะตัว ที่ผลักดันให้ผู้คนออกมาซื้อของเดี๋ยวนี้ มิฉะนั้นก็เสี่ยงที่จะพลาดประสบการณ์ที่มีเพียงครั้งเดียว
ตามการวิเคราะห์เชิงเมตาในปี 2023 เกี่ยวกับผลกระทบของความขาดแคลนสินค้า การเปิดขายแบบจำกัด เช่นในร้านป๊อปอัป ช่วยเพิ่มโอกาสการซื้อขึ้นประมาณ 0.28 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ซึ่งถือเป็นการยกระดับที่พอจะดันอัตราการแปลงจาก 10% ให้ขยับเข้าใกล้ 12% ถึง 13% ได้
ได้ทดสอบทำเลร้านจริงในอนาคต
ร้านป๊อปอัปใช้เงินลงทุนล่วงหน้าน้อยกว่าร้านค้าที่มีหน้าร้านถาวร ทำให้เป็นพื้นที่ทดสอบที่เหมาะสม ร้านป๊อปอัปที่ประสบความสำเร็จจะช่วยส่งสัญญาณให้คุณรู้ว่า ธุรกิจของคุณพร้อมที่จะขยายเข้าสู่ร้านค้าปลีกแบบถาวรแล้ว
Pop-up retail ใช้ระบายสต็อกเก่า
ร้านป๊อปอัปสามารถเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการขายสต็อกเก่าได้ นำองค์ประกอบการจัดวางสินค้าแบบดิสเพลย์มาใช้เพื่อสร้างบรรยากาศใหม่ ๆ ที่ดึงดูดนักช้อปรายใหม่ จัดโปรโมชั่นพิเศษ เช่น ซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง หรือจัดชุดสินค้าเป็นเซ็ต รวมถึงกลยุทธ์อื่นๆ เพื่อกระตุ้นการซื้อ
ได้กระตุ้นยอดขายแบบหลายช่องทาง
จากการสำรวจของ Statista พบว่า ในปี 2024 ผู้ซื้อสินค้าในสหรัฐฯ มักได้รับแรงบันดาลใจจากโซเชียลมีเดียและการเดินชมสินค้าหน้าร้านจริงเมื่อต้องการหาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ พฤติกรรมแบบผสมผสานนี้สะท้อนให้เห็นว่าการค้นพบสินค้าของผู้บริโภคยุคใหม่ทำงานอย่างไร การซื้ออาจเกิดขึ้นออนไลน์ แต่แรงบันดาลใจยังคงมาจากการสัมผัสทั้งทางดิจิทัลและทางกายภาพ
ร้านป๊อปอัปช่วยส่งเสริมพฤติกรรมการช้อปแบบหลายช่องทางนี้ “ตอนที่เราทำร้านป๊อปอัปและจัดอีเวนต์แบบเจอหน้ากัน เราสังเกตว่าเรามียอดขายต่อเนื่องตลอดทั้งเดือนถัดมา เพราะเราได้เจอผู้คนแบบตัวจริง” Myriam Belzile-Maguire ผู้ก่อตั้ง Maguire Shoes กล่าว “และเมื่อพวกเขารู้แล้วว่าชอบแบรนด์และคุณภาพของเรา พวกเขาก็จะรู้สึกมั่นใจมากขึ้นในการซื้อออนไลน์”
ประเภทของร้าน Pop-up retail
ร้านป๊อปอัปมีหลายประเภทให้คุณพิจารณาเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสม ขึ้นอยู่กับความต้องการและเป้าหมายของธุรกิจ ยกตัวอย่างเช่น
ร้านป๊อปอัปสำหรับอีเวนต์การตลาด
ร้านป๊อปอัปประเภทนี้ใช้เพื่อสร้างกระแสให้กับการเปิดตัวสินค้าใหม่ แคมเปญรีแบรนด์ หรือการเปิดตัวธุรกิจ ร้านป๊อปอัปของคุณสามารถเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การตลาดโดยรวมสำหรับธุรกิจค้าปลีกของคุณได้
ร้าน Pop-up retail ตามเทศกาล
ร้านป๊อปอัปตามฤดูกาลใช้ประโยชน์จากลักษณะเฉพาะของแต่ละเทศกาล เพื่อดึงดูดผู้คนและเพิ่มยอดขาย ตัวอย่างที่พบได้บ่อยที่สุดคือร้านป๊อปอัปช่วงเทศกาลวันหยุด สำหรับบางธุรกิจ ร้านป๊อปอัปเหล่านี้สามารถสร้างยอดขายได้มากกว่า 1 ใน 4 ของยอดขายทั้งปีเลยทีเดียว
Christkindlmarket ที่ชิคาโกคือตัวอย่างหนึ่งของตลาดตามฤดูกาลที่ธุรกิจต่าง ๆ มาตั้งร้านป๊อปอัป ตลาดนี้เปิดตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายนไปจนถึงเกือบสิ้นปี มอบประสบการณ์งานเทศกาลอันน่าประทับใจให้กับผู้บริโภค พร้อมด้วยสินค้าท้องถิ่นจากผู้ขายหลายสิบรายที่นำมาเสนอเป็นของขวัญ
ร้านป๊อปอัปเชิงทดลอง
ตามชื่อเลย ร้านป๊อปอัปประเภทนี้คือพื้นที่ที่ธุรกิจใช้ทดลองสินค้าใหม่ ตลาดใหม่ การจัดวางสินค้า หรือประสบการณ์การค้าปลีกก่อนที่จะเปิดตัวในวงกว้าง
ร้านป๊อปอัปเชิงทดลองช่วยให้ธุรกิจได้แสดงความคิดสร้างสรรค์ ทดลองไอเดียใหม่ๆ และนำเสนอสินค้าหรือคอนเซปต์แปลกใหม่ให้กับกลุ่มผู้บริโภคที่อาจเข้าถึงได้ยาก ยกตัวอย่างการเคลื่อนไหวล่าสุดของ Meta ก่อนงาน Meta Connect 2024 บริษัทได้เปิดตัว Meta Lab ซึ่งเป็นสเปซค้าปลีกเชิงทดลองสำหรับแว่นตาอัจฉริยะ Ray-Ban Meta โดยเปิดร้านป๊อปอัปชั่วคราวในลอสแอนเจลิส เพื่อให้ผู้เข้าชมได้สัมผัสประสบการณ์จริงกับแว่นตาเหล่านี้ ภายในร้าน ผู้ซื้อสามารถลองใส่แว่นอัจฉริยะ อัดคลิป ถ่ายภาพ และดาวน์โหลดคอนเทนต์ได้ทันที
ร้านป๊อปอัปประเภทนี้ยังช่วยให้เจ้าของธุรกิจสามารเก็บข้อมูลเกี่ยวกับการตอบสนองและความคิดเห็นของลูกค้าได้อีกด้วย
ร้าน Pop-up เสมือน
ร้านป๊อปอัปเสมือนจริงคือประสบการณ์ช้อปปิ้งแบบอินเทอร์แอคทีฟที่เปิดโอกาสให้ลูกค้าสามารถเลือกดูสินค้าในหน้าร้านดิจิทัลได้ รูปแบบนี้จำลองการช้อปปิ้งแบบเจอตัวจริง โดยให้ลูกค้าได้เดินชมร้านเสมือนและมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ของคุณ
ต่างจากเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซทั่วไป ร้านป๊อปอัปเสมือนจริงนำเสนอประสบการณ์ช้อปปิ้งแบบ 360 องศาที่เต็มไปด้วยการมีส่วนร่วม
ร้านป๊อปอัปออนไลน์
ร้านป๊อปอัปออนไลน์คือหน้าร้านดิจิทัลแบบชั่วคราวที่มักอยู่ในแลนดิ้งเพจหรือซับโดเมน โดยทั่วไปจะถูกใช้ร่วมกับการเปิดตัวสินค้าใหม่ การให้สิทธิ์เข้าถึงก่อนใคร หรือแคมเปญตามฤดูกาล
แล้วมันต่างจากร้านป๊อปอัปเสมือนจริงอย่างไร ร้านป๊อปอัปเสมือนจริงคือประสบการณ์ ไม่ใช่หน้าร้าน ตัวอย่างเช่น ไลฟ์สดเพื่อการช้อปปิ้ง การพาเดินชมร้านผ่าน VR หรืออีเวนต์ดิจิทัลที่อินเทอร์แอคทีฟ ซึ่งทั้งหมดนี้ให้ความรู้สึกดื่มด่ำและเน้นการมีส่วนร่วมมากกว่าการทำธุรกรรมโดยตรง
เช่น แบรนด์แฟชั่นอาจเปิดร้านป๊อปอัปออนไลน์เป็นเวลา 72 ชั่วโมง พร้อมแคปซูลคอลเลกชันและตัวนับถอยหลัง ในขณะที่ร้านป๊อปอัปเสมือนจริงอาจจัดเซสชันสไตลิ่งแบบสดบน Instagram หรือการเปิดตัวสินค้ารูปแบบเกมิฟายผ่านแพลตฟอร์มเฉพาะ
Pop-up retail ที่ตั้งอยู่ในร้านอื่น
ร้านป๊อปอัปแบบ Shop-in-Shop หรือร้านป๊อปอัปที่ตั้งอยู่ในร้านอื่น คือร้านที่ตั้งอยู่ภายในร้านค้าหรือบูติกที่มีอยู่เดิม โดยทั่วไปผู้ค้าปลีกจะเช่าพื้นที่ส่วนหนึ่งของร้านเพื่อวางขายสินค้า การเปิดร้านป๊อปอัปในร้านที่มีอยู่แล้วช่วยให้คุณได้ประโยชน์จากจำนวนผู้เข้าชมที่มีอยู่เดิม ประหยัดค่าเช่าและค่าแต่งร้านไปในตัว ร้านป๊อปอัปประเภทนี้เหมาะที่สุดเมื่อสินค้าของคุณอยู่ในกลุ่มเดียวกันหรือเป็นสินค้าที่เสริมกันกับร้านที่คุณไปตั้งร้าน
ร้าน Pop-up retail แบบ Collab
ร้านป๊อปอัปแบบ Collaboration คืออีเวนต์ร่วมที่จัดขึ้นโดยแบรนด์ นักสร้างสรรค์ หรือผู้ค้าปลีกที่มีกลุ่มผู้ชมซ้อนทับกัน เรียกง่ายๆ ก็คือเป็นร้านที่เป็นพันธมิตรชั่วคราวกับร้านค้าปลีก โดยมีการแบ่งพื้นที่ ใช้เวทีร่วมกัน และทำให้มีผู้มาเยี่ยมชมทวีคูณ
จุดเด่นไม่ได้มีเพียงการประหยัดค่าเช่า (ซึ่งก็เป็นประโยชน์) แต่ร้านป๊อปอัปแบบ Collaboration ยังช่วยผสมกลุ่มผู้ชม โปรโมทข้อเสนอข้ามแบรนด์ และสร้างแรงจูงใจใหม่ให้ลูกค้ามาเยี่ยมชมอีกด้วย
ยกตัวอย่างเช่น วง BLACKPINK จับมือกับ Fanatics และ Complex เปิดตัว BLACKPINK IN YOUR AREA League Collection การเปิดตัวครั้งนี้ผสมผสานภาพลักษณ์ของ BLACKPINK กับเสื้อทีม NBA และ MLB อันโดดเด่น ดึงดูดแฟนๆ ทั้งแฟนเพลง คนรักแฟชั่น และคอกีฬา
ภาพกราฟิกบนผนังจากร้านป๊อปอัป BLACKPINK x Fanatics x Complex ที่ลอสแอนเจลิส ผสมผสานสไตล์ K-pop เข้ากับเสื้อทีม MLB
วิธีตั้งร้าน Pop-up retail ใน 8 ขั้นตอนง่าย ๆ
สิ่งที่คุณควรรู้เมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะเปิดร้านป๊อปอัป
1. เลือกประเภทของพื้นที่จัดอีเวนต์
การหาทำเลที่เหมาะสมสำหรับร้านป๊อปอัปเป็นสิ่งสำคัญ พิจารณาการทำงานร่วมกับเอเจนซีค้าปลีก การสร้างเครือข่ายกับธุรกิจขนาดเล็กอื่นๆ ในคอมมูนิตี้ หรือใช้แอปเพื่อค้นหาพื้นที่ว่าง
ตัวอย่างพื้นที่ที่มักใช้สำหรับร้านป๊อปอัปมีดังนี้
- หน้าร้านอื่นที่ยังว่างอยู่
- ศูนย์การค้าหรือห้างสรรพสินค้า
- ร้านป๊อปอัปที่ตั้งอยู่ในร้านอื่น
- แกลเลอรีหรือพื้นที่จัดอีเวนต์
- รถบัสป๊อปอัปหรือทางเลือกแบบเคลื่อนที่อื่น ๆ
เมื่อประเมินสถานที่สำหรับร้านป๊อปอัป อย่าลืมขอประมาณค่าใช้จ่ายรายเดือนอย่างละเอียด รวมถึงสิ่งที่รวมอยู่ในค่าเช่าด้วย
2. เลือกทำเลร้าน Pop-up retail
การเลือกทำเลที่ดีที่สุดสำหรับร้านป๊อปอัป จำเป็นต้องทำการวิจัยตลาด ซึ่งรวมถึงการพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ เช่น การเข้าถึง ความหนาแน่นของผู้คนที่เดินผ่านไปมา กลุ่มเป้าหมาย และค่าเช่าหรือค่าเช่าพื้นที่
คำถามที่ควรถามตัวเองในขั้นตอนนี้ ได้แก่
- เป้าหมายของร้านคืออะไร
- ค่าเช่าหรือค่าเช่าที่รับไหวคือเท่าไหร่
- ย่านหรือถนนนั้นมีผู้สัญจรผ่านเยอะหรือไม่
- ผู้ที่ผ่านไปมาคือกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหรือไม่
ตัวอย่างเช่น หากคุณกำลังจะเปิดตัวคอลเลกชันชุดว่ายน้ำใหม่ ทำเลใกล้ชายหาดอาจเหมาะที่สุด แต่ถ้าคุณกำลังพิจารณาว่าจะขยายไปสู่ร้านค้าถาวร ใช้ข้อมูลการวิเคราะห์ยอดขายปัจจุบันเพื่อตรวจสอบว่าลูกค้าส่วนใหญ่ของคุณอยู่ที่ไหน
💡เคล็ดลับ: หากต้องการดูว่าลูกค้าของคุณอยู่ที่ไหนและรวมตัวกันในเมืองหรือย่านใดบ้าง ให้ดูรายงาน “Customers by location” ใน Shopify admin
3. เลือกรูปแบบร้าน การตกแต่งภายในและภายนอก
การเลือกรูปแบบ Pop-up retail ภายในหรือภายนอกที่เหมาะสมต้องอาศัยความเข้าใจในกลุ่มลูกค้า ความต้องการ และจิตวิทยาด้านการออกแบบ หากคุณใช้พื้นที่ร้านค้าที่มีอยู่แล้ว ต้องพิจารณาว่าการจัดวางและดีไซน์ร้านเหมาะสมกับสินค้าของคุณหรือไม่
ลักษณะการตกแต่งทั้งภายในและภายนอกของร้านยังขึ้นอยู่กับประเภทสินค้าและบริการที่คุณขายด้วย ตัวอย่างเช่น หากคุณขายว่าว อาจออกแบบร้านป๊อปอัปแบบโอเพ่นแอร์ เพื่อสะท้อนบรรยากาศโปร่งสบายให้เข้ากับสินค้า และสื่อถึงความสนุกสนานสดใสของกลุ่มลูกค้า คุณอาจจ้างที่ปรึกษาด้านการออกแบบมาช่วยในขั้นตอนนี้ก็ได้
เช็กลิสต์ปัจจัยที่ควรพิจารณาในการตัดสินใจเลือกพื้นที่ร้านป๊อปอัป มีดังนี้
- พื้นที่ใช้สอย: พื้นที่สำหรับ Pop-up retail กว้างพอให้ลูกค้าเดินเลือกซื้อได้สะดวกหรือไม่
- อินเทอร์เน็ต: มี Wi-Fi พร้อมใช้หรือไม่ อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงรองรับการทำงานของระบบ POS ได้ราบรื่นหรือเปล่า
- พื้นที่เก็บสินค้า: มีที่เก็บสต็อกหรือห้องเก็บของในสถานที่หรือไม่ เพียงพอสำหรับจัดการสินค้าคงคลังและช่วยซ่อนของไม่ให้รกสายตาหรือเปล่า
- ระบบป้องกันการโจรกรรม: มีมาตรการป้องกันการสูญหาย เช่น กล้องวงจรปิดหรือระบบสัญญาณกันขโมยหรือไม่
- พื้นที่จัดแสดงสินค้า: มีอุปกรณ์หรือเฟอร์นิเจอร์ที่เหมาะสมสำหรับจัดแสดงสินค้าและสื่อประชาสัมพันธ์หรือไม่
- ด้านหน้าร้าน: มีทางเท้าสำหรับลูกค้าวอล์กอิน หรือรองรับทราฟฟิกคนเดินเท้าได้หรือไม่ ด้านหน้าร้านกว้างพอที่จะจัดการออเดอร์แบบแวะรับโดยไม่ต้องลงจากรถหรือเปล่า
- ป้ายร้าน: พื้นที่ร้าน Pop-up retail มาพร้อมป้ายหรือไม่ และหากมี อนุญาตให้คุณปรับแต่งได้หรือเปล่า
- ที่จอดรถและการเข้าถึงด้วยขนส่งสาธารณะ: มีที่จอดฟรีหรือคิดค่าจอดในสถานที่หรือไม่ หรือสามารถเข้าถึงด้วยระบบขนส่งสาธารณะได้สะดวกหรือเปล่า
4. จัดเตรียมเอกสารทางกฎหมายที่จำเป็น
ขึ้นอยู่กับภูมิภาคหรือรัฐที่คุณเริ่มทำธุรกิจ ประเภทธุรกิจ ระยะเวลาการเปิดร้านป๊อปอัป ขนาดธุรกิจ และจำนวนพนักงาน คุณอาจต้องขอใบอนุญาตหรือเอกสารอนุญาตบางประเภทเพื่อดำเนินการได้อย่างถูกต้อง
ตัวอย่างเช่น หลายเมืองกำหนดให้ต้องมีใบอนุญาตในการขายอาหารและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หากคุณมีแผนจะเสิร์ฟแชมเปญในวันเปิดร้าน ควรดำเนินการขออนุญาตให้เรียบร้อย ติดต่อหน่วยงานท้องถิ่นหรือหอการค้าเพื่อขอข้อมูลเกี่ยวกับใบอนุญาตที่จำเป็น เพื่อให้มั่นใจว่าธุรกิจของคุณปฏิบัติตามข้อกำหนด
นอกจากนี้ คุณอาจต้องมีประกันธุรกิจหรือประกันการค้า ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารความเสี่ยงทางธุรกิจหรือบริษัทประกัน เพื่อให้แน่ใจว่าคุณมีความคุ้มครองที่เหมาะสมสำหรับปกป้องธุรกิจของคุณ
5. จองสถานที่จัดร้าน Pop-up retail
ติดต่อกับนายหน้าโดยตรงเพื่อสอบถามว่าสถานที่ใดพร้อมสำหรับการเปิดร้านป๊อปอัปบ้าง นอกจากนี้ยังมีฐานข้อมูลออนไลน์ที่คุณสามารถค้นหาและจองสถานที่ได้ด้วยตนเอง
ตัวอย่างเช่น
การจองสถานที่จะรวมถึงการเซ็นสัญญาเช่าพื้นที่ค้าปลีก ภายใต้สัญญาเช่า ผู้เช่าจะถูกพิจารณาว่าเป็นผู้ครอบครองพื้นที่โดยเฉพาะสำหรับระยะเวลาที่ทั้งสองฝ่ายตกลงกัน ซึ่งเรียกว่าระยะเวลาการเช่า ระยะเวลานี้จะระบุสิ่งที่คุณได้รับอนุญาตให้ทำในพื้นที่ เช่น การปรับปรุง การกำหนดเวลาทำการ และประเด็นสำคัญอื่น ๆ
คุณควรตรวจสอบสัญญาเช่าอย่างรอบคอบ หรือจ้างทนายความตรวจสอบแทนเพื่อความมั่นใจ
6. โปรโมตร้านป๊อปอัปของคุณ
เผยแพร่ข่าวเกี่ยวกับร้านป๊อปอัปที่จะมาถึงของคุณโดยการร่วมมือกับธุรกิจท้องถิ่นอื่น ๆ เพื่อช่วยโปรโมต
การตลาดแบบปากต่อปากสามารถเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการขยายการเข้าถึง ความสัมพันธ์ทางธุรกิจลักษณะนี้สามารถช่วยได้หลายทาง เช่น ธุรกิจท้องถิ่นอาจพูดถึงร้านป๊อปอัปของคุณในโซเชียลมีเดียของพวกเขา และคุณอาจตอบแทนด้วยการมอบโปรโมชันฟรี ตัวอย่างเช่น แขกโรงแรมอาจได้รับคูปองส่วนลด 10% สำหรับสินค้าพิเศษของคุณ
ใช้ช่องทางการตลาดของคุณเอง เช่น โซเชียลมีเดียและอีเมลมาร์เก็ตติ้ง เพื่อโปรโมตอีเวนต์ Pop-up retail แบบออฟไลน์ ร้านป๊อปอัปยังเป็นโอกาสที่ดีในการเก็บข้อมูลการติดต่อ เพื่อให้คุณสามารถติดต่อกับลูกค้า (หรือผู้ที่อาจกลายเป็นลูกค้า) ต่อไปได้
คุณสามารถเปิดแคมเปญอีเมลมาร์เก็ตติ้งและลงโฆษณาโซเชียลมีเดียแบบเจาะกลุ่มเพื่อดึงลูกค้าเข้ามาที่ร้านออนไลน์ของคุณ และอาจทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นหลังจากจบอีเวนต์ป๊อปอัป หรือคุณสามารถสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าผ่านอีเมลมาร์เก็ตติ้ง เช่น การส่งจดหมายข่าว
7. วัดผลความสำเร็จ
หลังจากจบร้านป๊อปอัปแล้ว คุณควรประเมินว่าบรรลุเป้าหมายของร้านและตัวชี้วัดหลัก (KPI) หรือไม่
การทำ Sales Postmortem หรือการวิเคราะห์ข้อดีและข้อบกพร่อง จะช่วยให้คุณตัดสินได้ว่าการขายแบบเจอตัวเป็นช่องทางการขายที่มีประสิทธิภาพสำหรับธุรกิจของคุณหรือไม่
วิธีอื่น ๆ ในการประเมินความสำเร็จของร้านป๊อปอัป ได้แก่
- การวัดผลการใช้งานโซเชียลมีเดีย: การมีส่วนร่วมบนโซเชียลมีเดียสามารถช่วยดึงทราฟฟิกไปที่ร้านออนไลน์และร้านป๊อปอัปของคุณได้ โดยใช้เครื่องมือวิเคราะห์โซเชียลมีเดียที่เหมาะสม คุณสามารถติดตามแฮชแท็กแบรนด์บนแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น Instagram YouTube และ TikTok
- การติดตามจำนวนผู้เข้าชมร้าน: คุณสามารถวัดปริมาณคนเดินเข้าร้านได้ด้วยเครื่องนับ เช่น Dor เพื่อดูว่ามีคนเข้ามาในร้านกี่คน
- การตรวจสอบตัวชี้วัดยอดขาย: เมื่อทำการวิเคราะห์ยอดขาย ควรพิจารณาตัวชี้วัดค้าปลีกที่สำคัญ เช่น ยอดขายตามวัน ลูกค้า สินค้า และพนักงาน
เมื่อคุณระบุได้แล้วว่าต้องการติดตามอะไร ให้ไปที่ Shopify Analytics เพื่อสร้างแดชบอร์ดที่ใช้งานได้จริงสำหรับคุณ
ปรับแต่งแดชบอร์ด Shopify POS ของคุณด้วยการ์ดข้อมูลที่แสดงยอดขาย คำสั่งซื้อ และพฤติกรรมลูกค้าแบบรวดเร็ว สำรวจไลบรารี Metrics เพื่อเลือกสิ่งที่สำคัญที่สุด จากนั้นลาก วาง และจัดเรียงใหม่จนกว่าจะแสดงข้อมูลตรงตามเป้าหมายของคุณ
Shopify ช่วยให้คุณติดตามประสิทธิภาพการขายแบบเรียลไทม์สำหรับร้าน Pop-up retail ของคุณได้อย่างง่ายดาย
8. ดันกระแสต่อหลังจบ Pop-up retail
การปิดร้านป๊อปอัปไม่ได้หมายความว่าจบเรื่องราว ถ้าคุณทำถูกต้อง คุณเพิ่งสร้างการรับรู้ รวบรวมข้อมูลลูกค้าที่มีค่า และสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าใหม่
นี่คือวิธีรักษาแรงกระตุ้นต่อไปหลังจากปิดร้าน
- ส่งอีเมลติดตามผล: ขอบคุณผู้เข้าร่วม แบ่งปันรูปภาพ และใส่ข้อเสนอออนไลน์จำกัดเวลาเพื่อดึงความสนใจกลับมา หากคุณเก็บอีเมลจากงานไว้ ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์การตลาดที่ชาญฉลาด นี่คือจุดที่ข้อมูลลูกค้าโดยตรงของคุณเริ่มทำงาน
- โพสต์สรุปบนโซเชียล: แชร์เบื้องหลัง ไฮไลต์วิดีโอ หรือช่วงเวลาของผู้เข้าร่วมเพื่อกระตุ้นความรู้สึกกลัวพลาดโอกาสสำหรับคนที่พลาดงาน และทำให้กระแสออนไลน์ยังคงต่อเนื่อง ติดแท็กผู้ร่วมงาน ครีเอเตอร์ หรือใครก็ตามที่ช่วยกระจายงาน
- เก็บความคิดเห็นทันที: ใช้แบบสำรวจหลังงานสั้น ๆ หรือฟอร์มคำถามเดียว เช่น “คุณชอบอะไรที่สุด” เพื่อแสดงให้ลูกค้าเห็นว่าคุณใส่ใจ และยังได้ข้อมูลช่วยปรับปรุงร้านป๊อปอัปครั้งต่อไปให้ดียิ่งขึ้น
- จัดจำหน่ายออนไลน์หรือขายต่อเนื่อง: สร้างประสบการณ์ร้านป๊อปอัปดิจิทัลหลังงาน ให้ผู้เข้าร่วมเข้าถึงสินค้าลิมิเต็ดเอดิชันก่อนใคร หรือมอบรหัสส่วนลดสำหรับคนที่พลาดงาน กลยุทธ์นี้ช่วยเชื่อมช่องว่างระหว่างร้านป๊อปอัปจริงกับร้านออนไลน์ของคุณ
หากคุณกำลังจัดแฟลชเซลล์เพื่อสะท้อนประสบการณ์ในร้านป๊อปอัป แอปของ Shopify สามารถช่วยคุณได้
- BOLD Discounts ช่วยให้คุณตั้งเวลาลดราคาทั้งร้านหรือแฟลชเซลล์ได้โดยไม่ต้องยุ่งยากกับคูปอง มีทั้งการตั้งเวลาเริ่มและสิ้นสุดอัตโนมัติ ตัวนับถอยหลัง และแบนเนอร์กระตุ้นความเร่งด่วนในตัว
- หากคุณต้องการวิธีที่เบากว่า ลองใช้ Disco Flash Sale ที่ช่วยให้คุณจัดโปรโมชั่นระยะสั้นได้ง่าย พร้อมแบนเนอร์สวยงามและส่วนลดแบบรวมหลายสินค้าภายในคอลเลกชัน
- สำหรับลูกค้าที่ชอบช้อปแบบเร่งด่วนหรือคนที่ละทิ้งตะกร้า FlashDeal ช่วยให้คุณตั้งป๊อปอัปแบบตั้งเวลาปรากฏเมื่อมีคนเพิ่มสินค้าในตะกร้า กระตุ้นให้พวกเขาชำระเงินก่อนที่ดีลจะหมด
นอกจากนี้ Shopify Launchpad ช่วยให้คุณตั้งเวลาการจัดแฟลชเซลหรือการวางจำหน่ายสินค้ารุ่นลิมิเต็ดได้ล่วงหน้า ทำให้คุณต่อยอดแรงกระแสหลังอีเวนต์ได้โดยไม่ต้องทำอะไรเอง ระบบจะปรับส่วนลดอัตโนมัติ อัปเดตทั้งร้านค้าและโซเชียลมีเดีย และกลับสู่สภาพปกติเมื่อกิจกรรมจบ
ตัวอย่างร้าน Pop-up retail
การคิดไอเดียสำหรับร้านป๊อปอัปครั้งถัดไปอาจดูยาก แต่จริงๆ แล้วไม่จำเป็นต้องซับซ้อน มาดูสามตัวอย่างร้านป๊อปอัป ที่ประสบความสำเร็จกันได้เลย
Pop Up Grocer
Pop Up Grocer เป็นร้านค้าปลีกที่คิดนอกกรอบเพื่อสร้างประสบการณ์ร้านป๊อปอัปที่ไม่เหมือนใคร
Pop Up Grocer เป็นร้านขายของชำที่สร้างสรรค์ มีทั้งช่องทางออนไลน์และร้านค้าหลักในนิวยอร์กซิตี้ ร้านนี้จำหน่ายสินค้ามากกว่า 600 แบรนด์ โดยเน้นไปที่แบรนด์เล็กที่กำลังเติบโต แบรนด์ใหม่ มีความคิดสร้างสรรค์ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
บริษัทเริ่มต้นจากการเป็นร้านป๊อปอัปเพียง 10 วันในแมนฮัตตัน ส่วนหนึ่งเพราะขาดเงินทุน ตามคำบอกของผู้ก่อตั้งอย่าง Emily Schildt จากนั้นแนวคิดก็พัฒนาเป็นร้านของชำแบบเดินทาง หมุนเวียนเปิดป๊อปอัป 30 วันในแต่ละเมือง
Pop Up Grocer ยังคงเข้าถึงผู้ซื้อใหม่ ๆ ผ่านร้านป๊อปอัป และไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะพบผู้ขายท้องถิ่นนำสินค้ามาจำหน่ายด้วยเช่นกัน
Plant Man P
Plant Man P เป็นแบรนด์สตรีทแวร์สำหรับคนรักต้นไม้ในบ้าน จึงเป็นเรื่องสมเหตุสมผลที่ร่วมมือกับร้านต้นไม้ The Sill สาขานิวยอร์ก เพื่อเปิดร้านป๊อปอัปแบบร้านในร้าน สำหรับสินค้าของแบรนด์
“พวกเราตัดสินใจทำเสื้อยืดลายคำว่า ‘Plant Care Is Self Care’ หรือ การดูแลต้นไม้คือการดูแลตัวเอง ในดีไซน์สัญลักษณ์อินฟินิตี้ เพราะเราเชื่อว่าการดูแลต้นไม้ก็คือการดูแลตัวเอง และในทางกลับกัน” จอน เพอร์โดโม ผู้ก่อตั้ง Plant Man P กล่าว “เราดีใจที่ได้ออกไปพบผู้คนในคอมมูนิตี้และช่วยเหลือได้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการดูแลต้นไม้ การดูแลตัวเอง หรือเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง”
Warby Parker
ร้านแว่นตา Warby Parker เริ่มต้นเป็นแบรนด์ออนไลน์ล้วน ก่อนที่จะทดสอบการขายหน้าร้านผ่านร้านป๊อปอัปบนรถบัส การทดลองนี้ประสบความสำเร็จ และบริษัทจึงเริ่มเปิดร้านจริง ปัจจุบันแบรนด์มีมากกว่า 287 สาขา และยังมีแผนขยายเพิ่มอีก
การเช่าร้านป๊อปอัป
ข้อดีของโมเดลร้านป๊อปอัปคือคุณไม่ต้องติดสัญญาเช่าระยะยาวหรือข้อจำกัดต่าง ๆ คุณเพียงแค่เช่าพื้นที่ชั่วคราวเพื่อโชว์สินค้าหรือบริการของคุณ
เวลามองหาทำเล ให้เลือกพื้นที่ที่มีความยืดหยุ่นทั้งขนาดและการจัดวาง ตัวอย่างเช่น
- ร้านค้าปลีก: ร่วมมือกับร้านค้าที่มีอยู่แล้วเพื่อใช้พื้นที่ในช่วงเวลาที่ร้านไม่คึกคัก
- ตลาดหรือมาร์เก็ตเพลส: พิจารณาพื้นที่ร่วมในตลาดท้องถิ่นหรือศูนย์ชุมชน เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย
- อีเวนต์: มองหาโอกาสในงานแฟร์ เทศกาล หรือเทรดโชว์ที่คุณสามารถตั้งร้านชั่วคราวได้
เมื่อคุณเจอทำเลที่ใช่ ก็ถึงเวลาเริ่มทำธุรกิจ ร้านป๊อปอัปมีเงื่อนไขการเช่าที่แตกต่างจากร้านปกติ ดังนั้นคุณควรตกลงรายละเอียดระยะเวลาเช่าและค่าใช้จ่าย อย่าลืมสอบถามเรื่องค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ หรือประกัน
ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณปฏิบัติตามกฎหมาย จากนั้นทำตามขั้นตอนต่อไปนี้
- ตรวจสอบว่าคุณต้องขอใบอนุญาตหรือเอกสารพิเศษใด ๆ หรือไม่ เมื่อเรียบร้อยแล้วก็ถึงเวลาทำให้พื้นที่ของคุณโดดเด่น
- คิดว่าคุณอยากให้แบรนด์ของคุณดูและรู้สึกอย่างไร ใช้สีของแบรนด์ ติดป้ายที่ดึงดูดสายตา และสร้างการจัดวางพื้นที่ให้ง่ายต่อการเดินชม
- แสงสว่าง เพลง และบางทีอาจมีกลิ่นเฉพาะตัว สามารถช่วยให้ลูกค้าอยู่ในร้านนานขึ้น
เดินหน้าต่อกับร้าน Pop-up retail ของคุณ
ร้านป๊อปอัปเป็นวิธีที่ทรงพลังและใช้เงินลงทุนค่อนข้างต่ำในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่และรักษาฐานลูกค้าเดิม
ไม่ว่าพฤติกรรมผู้บริโภคจะเปลี่ยนไปอย่างไร สิ่งหนึ่งที่ร้านชั่วคราวเหล่านี้ยังคงเหมือนเดิม คือร้านป๊อปอัปเป็นก้าวแรกที่เข้าถึงร้านค้าจริงได้อย่างประหยัดสำหรับแบรนด์ดิจิทัลและผู้ประกอบการที่ต้องการเชื่อมต่อกับคอมมูนิตี้ของพวกเขา
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Pop-up retail
ร้าน Pop-up retail คืออะไร
ร้านป๊อปอัปคือพื้นที่ขายสินค้าชั่วคราวที่แบรนด์ใช้จำหน่ายสินค้า หรือบริการในช่วงเวลาจำกัด ร้านเหล่านี้มักตั้งอยู่ในพื้นที่คนพลุกพล่าน เช่น ห้างสรรพสินค้า ตลาด หรือถนนในเมือง และมักใช้เพื่อทดสอบตลาดใหม่ สร้างการรับรู้แบรนด์ หรือกระตุ้นยอดขาย
กฎเกณฑ์สำหรับร้านป๊อปอัปมีอะไรบ้าง
กฎเกณฑ์แตกต่างกันไปตามแต่ละพื้นที่ แต่โดยทั่วไปรวมถึง
- ใบอนุญาตและใบรับรอง (เช่น ใบอนุญาตธุรกิจชั่วคราว หรือหมายเลขภาษีขาย)
- สัญญาเช่า (สัญญาเช่าระยะสั้นกับเจ้าของพื้นที่)
- ประกันภัย (มักต้องมีประกันภัยความรับผิดชอบต่อสาธารณะหรือประกันอีเวนต์)
- ปฏิบัติตามกฎหมายด้านสุขภาพ ความปลอดภัย และเขตพื้นที่ในสหรัฐฯ สามารถตรวจสอบกับสำนักงานออกใบอนุญาตธุรกิจในเมืองของคุณ ส่วนในสหภาพยุโรปหรือสหราชอาณาจักร มักจัดการโดยสภาท้องถิ่น
Pop-up retail ทำกำไรได้มากแค่ไหน
ร้านป๊อปอัปสามารถสร้างรายได้มากกว่าร้านค้าปกติประมาณ 20%–30% ร้านป๊อปอัปสามารถทำกำไรได้สูง โดยเฉพาะเมื่อค่าใช้จ่ายต่ำและแคมเปญมีความชัดเจน
เจน Z ชอบร้านป๊อปอัปมั้ย
ชอบมาก เจน Z ให้คุณค่ากับประสบการณ์เฉพาะตัว ความพิเศษ และการมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์แบบตัวต่อตัว ร้านป๊อปอัปตอบโจทย์นี้ทั้งหมด 28% ของเจน Z มองหาแบรนด์ที่ให้ประสบการณ์น่าจดจำ ในขณะที่มีเพียง 17% ของกลุ่มอายุอื่น
การเปิดร้าน Pop-up retail มีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่
ค่าใช้จ่ายในการเปิดร้านป๊อปอัปแตกต่างกันมาก ขึ้นอยู่กับทำเล ขนาด ระยะเวลา และความทะเยอทะยานของการจัดตั้ง อาจเริ่มตั้งแต่ประมาณ 170,000 บาท ถึง 850,000 บาท


