สำหรับ John Thorp และ Buzz Wiggins ผู้ร่วมก่อตั้ง Aerflo พวกเขามองเห็นช่องว่างที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขในตลาดสำหรับคนที่ดื่มน้ำโซดาเป็นประจำ โดย John เล่าว่า “พอสำรวจตัวเลือกที่มีอยู่ ทั้งแบบใช้ครั้งเดียวหรือเครื่องทำโซดาตั้งโต๊ะ เรารู้สึกว่ามันยังไม่ตอบโจทย์เท่าที่ควร” ในพอดแคสต์ Shopify Masters
แรงบันดาลใจมาจากโซดาไซฟอนบนรถเข็นบาร์ของพ่อ John ทำให้ทั้งสองอยากพัฒนารุ่นที่ประหยัดพื้นที่ ใช้งานง่าย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นสำหรับผู้บริโภคยุคนี้ ซึ่งตลอดเส้นทาง พวกเขาสัมภาษณ์ผู้ใช้หลายร้อยคน ทดลองสร้างต้นแบบหลายเวอร์ชัน และวางระบบจัดส่งให้ลงตัว ใช้เวลาราวห้าปีกว่า Aerflo System จะพร้อมออกสู่ตลาด
ความจริงคือ ธุรกิจอีคอมเมิร์ซจำนวนมากไม่ได้พัฒนา “ไอเดียจนกลายเป็นสินค้าได้สำเร็จ” แบบตรงไปตรงมาเสมอไป และถ้าคุณเพิ่งเริ่มต้น ก็อาจกำลังคิดเหมือนกันว่า จะทำให้ไอเดียที่มีอยู่กลายเป็นสินค้าที่ลูกค้าซื้อจริงได้ยังไง?
คอนเทนต์ในหน้านี้จะพาแยกแต่ละขั้นของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เข้าใจง่าย และบอกชัดเจนว่าต้องทำอย่างไร เพื่อให้ไอเดียกลายเป็นสินค้าที่ออกมาใช้งานได้จริง
การพัฒนาผลิตภัณฑ์คืออะไร?
การพัฒนาผลิตภัณฑ์ คือกระบวนการนำผลิตภัณฑ์จากแนวคิดไปสู่ตลาด กระบวนการนี้ประกอบด้วย
- ออกแบบสินค้า
- วางแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์
- ทำวิจัยตลาด
- เปิดตัวสินค้า
- เก็บฟีดแบ็กจากผู้ใช้
การพัฒนาผลิตภัณฑ์ต้องอาศัยหลายฝ่ายในธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นทีมออกแบบ ทีมวิศวกรรม ไปจนถึงการตลาด
สำหรับองค์กรขนาดใหญ่ มักมีผู้จัดการผลิตภัณฑ์หรือทีมพัฒนาผลิตภัณฑ์ดูแลเรื่องกลยุทธ์ เพื่อให้สินค้ามีโอกาสประสบความสำเร็จตั้งแต่เริ่มต้น
8 สเต็ปการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ใช้งานได้จริง
- สร้างไอเดียสินค้า
- ร่างสเก็ตช์หรือภาพร่างสินค้า
- ตรวจสอบว่าไอเดียมีโอกาสขายได้จริง
- ทำต้นแบบสินค้า
- หาแหล่งวัสดุและพาร์ตเนอร์ผู้ผลิต
- คำนวณต้นทุนต่อหน่วย
- ทดสอบสินค้าเวอร์ชันทดลองกับผู้ใช้จริง
- ปรับแก้และพัฒนาต่อ
ขั้นตอนอาจต่างกันไปในแต่ละธุรกิจ แต่สเต็ปเหล่านี้คือสิ่งที่ช่วยพาไอเดียให้เดินหน้าไปจนกลายเป็นสินค้าที่ขายได้จริง
กระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกอบด้วยเจ็ดขั้นตอนหลัก ตั้งแต่แนวคิดเริ่มต้นไปจนถึงการเปิดตัวตลาด. การออกแบบอินโฟกราฟิกโดย Brenda Wisniowski
1. สร้างไอเดียสินค้า
ไม่ต้องรอไอเดียที่ล้ำแบบไม่เคยมีใครทำมาก่อน เพราะสินค้าดังๆ จำนวนมากก็พัฒนามาจากของที่มีอยู่แล้ว ลองใช้เฟรมเวิร์ก SCAMPER เพื่อช่วยแตกไอเดียได้ง่ายขึ้น
- แทนที่: แทนที่ด้วยวัสดุอื่น เช่น ใช้ขนเทียมแทนขนสัตว์
- รวม: รวมสินค้าสองอย่างเข้าด้วยกัน เช่น เคสมือถือที่มีแบตสำรองในตัว
- ปรับ: ปรับสินค้าให้ตอบความต้องการใหม่ เช่น บราสำหรับให้นมที่เปิดปิดด้านหน้าได้
- ปรับหรือพัฒนา: ปรับดีไซน์หรือฟังก์ชันให้ดีขึ้น เช่น แปรงสีฟันไฟฟ้าแบบมินิมอล
- นำไปใช้ในทางอื่น: นำไปใช้ในรูปแบบใหม่ เช่น ที่นอนเมมโมรีโฟมสำหรับสัตว์เลี้ยง
- ตัดออก: ตัดองค์ประกอบที่ไม่จำเป็น เช่น ตัดตัวกลางเพื่อลดต้นทุน
- กลับ/จัดเรียงใหม่: เปลี่ยนมุมคิดหรือจัดเรียงใหม่ เช่น เปลี่ยนจากพลาสติกมาใช้แก้วเป็นบรรจุภัณฑ์อาหาร
ตัวอย่างชัดมากคือเรื่องของ Lindsay McCormick ผู้ก่อตั้งแบรนด์เม็ดฟัน Bite ในปี 2017 โดยเธอเริ่มจากการมองยาสีฟันแบบเดิมๆ ที่บรรจุในหลอดพลาสติกและมีส่วนผสมที่ไม่ค่อยดีต่อร่างกาย ซึ่ง Lindsay เล่าในพอดแคสต์ Shopify Masters ว่า “พอได้ศึกษามากขึ้น เราคิดเลยว่าน่าจะทำอะไรที่ดีกว่านี้ได้ ทั้งต่อโลกและต่อสุขภาพของเรา”

การระบุให้ชัดว่ากลุ่มลูกค้าของคุณคือใคร สินค้ามีคุณค่าอะไร และคุณจะเข้าหาตลาดแบบไหน จะช่วยให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าควรใช้กลยุทธ์การพัฒนาผลิตภัณฑ์แบบใด ไม่ว่าจะเป็นการขยายตลาดหรือการทำสินค้าหลากหลายให้เหมาะกับธุรกิจของคุณที่สุด
2. ร่างสเก็ตช์หรือภาพร่างสินค้า
เมื่อมีไอเดียแล้ว ขั้นต่อไปคือทำให้เห็นภาพว่าสินค้าจะออกมาเป็นแบบไหน การทำร่างคร่าว ๆ ช่วยให้คุณรวมทุกองค์ประกอบสำคัญ ไม่ว่าสินค้าจะเป็นแบบจับต้องได้หรือดิจิทัล รวมถึงฟีเจอร์ที่จำเป็นต่อการออกแบบภาพร่าง และไม่ต้องกังวลถ้าคุณไม่ได้ถนัดวาดภาพ คุณสามารถจ้างนักวาดเทคนิคมืออาชีพได้จากแพลตฟอร์มอย่าง Dribbble หรือ UpWork
ภาพร่างช่วยให้ทีมเห็นภาพเดียวกัน และเสนอความคิดเห็นได้ก่อนที่จะเริ่มลงทุนทำต้นแบบจริง นอกจากนี้ยังช่วยให้คุณสื่อสารไอเดียสินค้าได้ชัดเจนยิ่งขึ้นเวลาติดต่อกับลูกค้าเพื่อขอความคิดเห็น
3. ตรวจสอบว่าไอเดียมีโอกาสขายได้จริง
ก่อนทุ่มเวลาและเงินลงไปมากเกินไป ต้องเช็กก่อนว่าตลาดกลุ่มเป้าหมายอยากซื้อสินค้าของคุณจริงหรือไม่ การตรวจสอบนี้ช่วยดูทั้งความเป็นไปได้ของฟังก์ชันและความเหมาะสมกับตลาด ลองใช้วิธีด้านล่างนี้ดู
- ส่งแบบสอบถามออนไลน์ให้กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
- เปิดแคมเปญคราวด์ฟันดิ้ง
- ทดลองทำการตลาดแบบเล็ก ๆ
- เช็กความต้องการของตลาด
- ศึกษาคู่แข่ง
- ทำการศึกษาความเป็นไปได้
ลองถามตัวเองว่าในตลาดตอนนี้ สินค้าของคุณอยู่ในตำแหน่งไหน:
- มันช่วยขยายหมวดสินค้าที่มีอยู่เดิมหรือไม่?
- มันเปลี่ยนเกมหรือส่งผลกับหมวดเดิมหรือไม่?
- หรือมันสร้างหมวดสินค้าใหม่ไปเลย?
ถ้าคุณกำลังเพิ่มสินค้าใหม่เข้าไปในธุรกิจที่มีอยู่แล้ว ควรทำ business analysis เพื่อดูว่าสินค้าใหม่สอดคล้องกับกลยุทธ์ธุรกิจโดยรวมแค่ไหน สุดท้ายอย่าลืมวิเคราะห์คู่แข่ง ดูให้ชัดว่าพวกเขาดึงดูดลูกค้าอย่างไรและขายด้วยวิธีไหน บวกกับการถามลูกค้าเป้าหมายว่าเขาชอบหรือไม่ชอบอะไรในสินค้าที่คล้ายกัน เพื่อหาจุดได้เปรียบของคุณเอง
4. ทำต้นแบบสินค้า
การทำต้นแบบคือการสร้างชิ้นงานตัวอย่างให้เสร็จก่อนเริ่มผลิตจริงจำนวนมาก บางธุรกิจอาจต้องพิจารณาว่าควรยื่นจดสิทธิบัตรเพื่อปกป้องดีไซน์หรือไม่
คุณสามารถเริ่มจากทำต้นแบบแบบ DIY ด้วยตัวเอง หาผู้เชี่ยวชาญหรือซัพพลายเออร์ด้านต้นแบบมาช่วย หรือใช้การพิมพ์แบบ 3 มิติ ทีม Aerflo เริ่มจาก DIY แบบง่าย ๆ ด้วยของที่มีอยู่ เช่น สูบลมจักรยาน ขวดน้ำ อีพ็อกซี่ และเกจ์วัดแรงดัน วิธีนี้ช่วยให้พวกเขารู้ว่าควรเดินหน้าพัฒนาไอเดียต่อ
ที่มา: Instagram
หลังจากนั้น Buzz และ John ลองทำงานกับบริษัทภายนอกหลายแห่ง แต่ก็ยังไม่ได้ผลลัพธ์อย่างที่ต้องการ สุดท้ายพวกเขากลับมาเริ่มใหม่ทั้งหมด ปรับต้นแบบหลายรอบ จนเข้าใจว่าสินค้าของตัวเองทำงานยังไง และต้องการอะไรเพิ่มเติม
พวกเขาจึงตัดสินใจจ้างวิศวกรประจำทีม เพื่อช่วยพัฒนาต้นแบบให้แม่นยำขึ้นและสามารถต่อยอดไปสู่การผลิตจริงในอนาคต
เหมือนกับที่ John และ Buzz เจอ คุณก็มักจะต้องทำหลายเวอร์ชันเช่นกัน และจะพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ จนได้ต้นแบบที่พอใจที่สุด
เมื่อได้เวอร์ชันใช้งานได้จริงครั้งแรก (MVP – Minimum Viable Product) ลองทดสอบกับกลุ่มเล็ก ๆ เพื่อ
- ดูระดับความสนใจของผู้ใช้
- ทดสอบราคา
- เก็บฟีดแบ็กเพื่อเอาไปปรับปรุง
5. หาแหล่งวัสดุและพาร์ตเนอร์ผู้ผลิต
เมื่อได้ต้นแบบที่ลงตัวแล้ว ขั้นต่อไปคือการสร้างซัพพลายเชนของสินค้า โดยการเลือกผู้ผลิตและซัพพลายเออร์ที่เหมาะสม วิธีค้นหาพาร์ตเนอร์ที่ใช่ มีดังนี้
- ขอสินค้าตัวอย่างจากหลายซัพพลายเออร์ แล้วเปรียบเทียบคุณภาพและต้นทุน
- ทดสอบตัวอย่างจากผู้ผลิตที่คุณสนใจ
- ขอใบเสนอราคาจากหลายเจ้า
- พิจารณาว่าจะใช้ซัพพลายเออร์ในประเทศหรือต่างประเทศ
- วางแผนเรื่องสต็อก การจัดส่ง และพื้นที่คลังสินค้า
- สื่อสารความต้องการของคุณให้ชัดเจนกับคู่ค้า
เมื่อ Cassidy Caulk ผู้ก่อตั้ง Kindred Label เริ่มมองหาผู้ผลิตรองเท้าแตะพับได้ เธอไม่มีประสบการณ์ทำงานกับโรงงานเลย “ช่วงเริ่มต้นนี่เครียดมากค่ะ” Cassidy เล่าในพอดแคสต์ Shopify Masters “แต่สุดท้ายคุณต้องเชื่อในสินค้าที่ตัวเองทำ แล้วคู่ที่ใช่มันจะมาเอง อาจต้องใช้เวลา แต่คุณจะเจอแน่นอน”
Cassidy สัมภาษณ์โรงงานถึงห้าแห่ง ก่อนจะเจอพาร์ตเนอร์ที่เหมาะที่สุด นั่นคือโรงงานขนาดเล็กของครอบครัวในโปรตุเกส ที่พร้อมลุยกับการผลิตรองเท้าแบบใหม่ทั้งชิ้นตั้งแต่ศูนย์
6. คำนวณต้นทุนต่อหน่วย
เมื่อมีพาร์ตเนอร์การผลิตแล้ว ขั้นต่อไปคือคำนวณว่าคุณจะทำกำไรได้เท่าไหร่ต่อสินค้าหนึ่งชิ้น การกำหนดราคาและการหาจุดคุ้มทุนต้องเริ่มจากการเข้าใจต้นทุนที่แท้จริงก่อน
เริ่มจากการคำนวณต้นทุนสินค้าที่ขาย ซึ่งอาจรวมถึง
- วัตถุดิบ
- ค่าเตรียมไลน์ผลิต
- ค่าผลิตสินค้า
- ค่าขนส่ง
- ภาษีนำเข้า
- ต้นทุนตรงอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการผลิต
COGS จะช่วยให้คุณรู้กำไรขั้นต้นต่อการขายหนึ่งชิ้น ซึ่งส่งผลต่อการตั้งราคาที่เหมาะสมและรักษามาร์จิ้นให้แข็งแรง โดยอย่าลืมว่าต้นทุนตรงเหล่านี้ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่น ค่าโสหุ้ย ค่าการตลาด และค่าใช้จ่ายการดำเนินงานต่าง ๆ
เมื่อรู้ต้นทุนแล้ว ก็ถึงเวลาวางกลยุทธ์การตั้งราคา กลยุทธ์ที่ดีต้องคำนึงถึงเทรนด์ตลาด ต้นทุนธุรกิจ ความต้องการของลูกค้า และเป้าหมายของบริษัท ตัวอย่างเช่น แบรนด์ใหม่ที่ต้องการบุกตลาดอาจใช้กลยุทธ์ตั้งราคาเริ่มต้นแบบเจาะตลาด โดยตั้งราคาต่ำในช่วงแรกเพื่อดึงลูกค้าเข้ามา แล้วค่อยปรับราคาขึ้นภายหลัง
7. ทดสอบสินค้าเวอร์ชันทดลองกับผู้ใช้จริง
ก่อนเปิดตัวเต็มรูปแบบ คุณสามารถปล่อยสินค้าแบบซอฟต์ลอนช์ให้กลุ่มลูกค้าเป้าหมายบางส่วนลองใช้ก่อน เพื่อเก็บฟีดแบ็กและปรับปรุงให้พร้อมที่สุด
คุณสามารถเลือกกลุ่มผู้ทดสอบตามเกณฑ์ต่าง ๆ เช่น ช่วงอายุ ความสนใจ หรือให้พวกเขาลองใช้สินค้าจริง นอกจากนี้ คุณยังร่วมงานกับอินฟลูเอนเซอร์ในกลุ่มเฉพาะทางได้ เพราะพวกเขารู้ดีว่าตลาดและสินค้าที่คล้ายกันเป็นอย่างไร
ถ้าสินค้าเป็นดิจิทัลหรือซอฟต์แวร์ คุณสามารถหาผู้ทดสอบได้จากแพลตฟอร์ม beta testing เช่น Beta Testing
ตัวอย่างเช่น แบรนด์สกินแคร์ Dieux แจกตัวอย่างทดลองของสินค้าที่ยังไม่เปิดตัวชื่อ Barrier Blanket ให้ลูกค้าที่ซื้อมอยส์เจอไรเซอร์ Instant Angel พร้อมเชิญชวนให้ผู้ใช้ส่งฟีดแบ็กกลับมา
8.ปรับแก้และพัฒนาต่อ
หลังเปิดตัวสินค้าแล้ว งานยังไม่จบ คุณควรพัฒนาสินค้าต่อไปเรื่อย ๆ เพื่อให้ลูกค้าได้เวอร์ชันที่ดีที่สุด
ขอให้ลูกค้ากรอกแบบสอบถาม หรือสอบถามโดยตรงถึงประสบการณ์ใช้งานของพวกเขา ใช้เครื่องมือ social listening เพื่อดูว่าคนพูดถึงสินค้าของคุณอย่างไร รวมถึงอ่านรีวิวจากหลายช่องทาง
ข้อมูลทั้งหมดนี้ช่วยให้คุณพัฒนาสินค้าให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ จึงมีคนเรียกขั้นตอนนี้ว่าวงจรพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพราะการพัฒนาสินค้าเป็นเรื่องต่อเนื่อง ที่จะพาคุณเข้าใกล้ความต้องการของลูกค้ามากที่สุด
ทิปส์ดีๆ สำหรับเปิดตัวสินค้า
ตอนนี้คุณมีสินค้าที่ตอบความต้องการตลาดและทำกำไรได้แล้ว ขั้นต่อไปคือการแนะนำสินค้าให้ลูกค้ารู้จัก ทำได้ดังนี้
วางกลยุทธ์แบรนด์ให้ชัดเจน
แบรนดิ้งคือส่วนที่เชื่อมทุกอย่างในธุรกิจ ตั้งแต่เรื่องราวของแบรนด์ กลยุทธ์ราคา ไปจนถึงคุณภาพสินค้า ก่อนเปิดตัว ควรกำหนดสารหลักที่อยากสื่อให้ลูกค้าเห็นภาพวิสัยทัศน์ของสินค้า และเหตุผลที่เขาควรซื้อ
เลือกเวลาที่เหมาะสม
กำหนดวันเปิดตัวโดยดูตามฤดูกาล เทรนด์ผู้บริโภค และสภาพตลาด การดูรายงานตลาดหรือใช้เครื่องมืออย่าง Google Trends ช่วยให้เห็นว่าช่วงไหนที่ความสนใจต่อสินค้าพุ่งสูง
ตัวอย่างเช่น ชุดว่ายน้ำจะถูกค้นหาเยอะในช่วงฤดูร้อน หากคุณจะเปิดตัวชุดว่ายน้ำ อาจเลือกช่วงฤดูใบไม้ผลิเพื่อรับกระแสความสนใจที่กำลังเพิ่มขึ้น
ที่มา Google Trends
สร้างคอนเทนต์รองรับการเปิดตัวสินค้า
การเปิดตัวสินค้าใหม่หมายความว่าคุณจะโปรโมตผ่านหลายช่องทาง ทั้ง SMS อีเมล โซเชียลมีเดีย และพาร์ตเนอร์ด้านแอฟฟิลิเอต เพื่อให้พร้อมเปิดตัว ควรเตรียมคอนเทนต์ล่วงหน้า เช่น วิดีโอสาธิตการใช้สินค้า หรือบล็อกเบื้องหลังการพัฒนา เพื่อให้ลูกค้าเข้าใจสินค้ามากขึ้น และรู้สึกเชื่อมโยงกับเรื่องราวของแบรนด์
ตัวอย่างการพัฒนาผลิตภัณฑ์
เส้นทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของเจ้าของธุรกิจแต่ละคนแตกต่างกัน นี่คือตัวอย่างจากโลกแห่งความเป็นจริงเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้คุณ
Bola Grills
David Levy ผู้ก่อตั้ง Bola Grills อยากทำเตาย่างที่ทำให้เขาไม่ต้องลุกจากแขกบ่อย ๆ จึงออกแบบเตาย่างแบบวางบนโต๊ะ โดยโฟกัสฟีเจอร์หลักอย่างการไหลเวียนอากาศของถ่าน และเทคโนโลยีกันความร้อนเพื่อปกป้องพื้นโต๊ะ
เขาทำต้นแบบร่วมกับนักศึกษามหาวิทยาลัย และเปิดแคมเปญคราวด์ฟันดิ้ง ซึ่งพิสูจน์ว่าไอเดียเวิร์กมาก แลพะระดมทุนได้ 22,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 780,000 บาท) และขายเตาไปได้ 94 เครื่อง
แต่ระหว่างทาง David เจอปัญหาใหญ่ ผู้ผลิตที่ร่วมงานด้วยไม่ตอบโจทย์ “หลังได้รับตัวอย่างประมาณ 5 รอบ ผมต้องตัดสินใจครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต” David เล่าใน Shopify Masters “ว่าจะหยุดทั้งหมด หรือจะเดินหน้าหาผู้ผลิตใหม่และเริ่มใหม่แทบทั้งกระบวนการ” สุดท้ายเขาเลือกเริ่มใหม่ และความพยายามก็ตอบแทนเขาได้ดี เขาสามารถเปิดตัวสินค้าสำเร็จทันช่วงฤดูปิ้งย่างพอดี
City Seltzer
บางทีสินค้าที่ดีมากก็เริ่มจากความบังเอิญ ในงานเทศกาลเบียร์ปี 2020 ของ Dominion City Brewing ทีมงานขายน้ำโซดารสครีมซิเคิลเพื่อให้ลูกค้าดื่มสลับกับการชิมเบียร์
“หลังงานจบ ทุกคนถามแต่ว่า ‘อันนั้นอร่อยมาก หาซื้อได้ที่ไหนอีก?’” Josh McJannett ผู้ร่วมก่อตั้งเล่าใน Shopify Masters “นั่นทำให้เรารู้ว่ามันอาจจะไม่ได้เป็นแค่เครื่องดื่มกันกระหายเฉย ๆ”
ทีมของ Josh มีทั้งอุปกรณ์จากโรงเบียร์และระบบกระจายสินค้าอยู่แล้ว พวกเขาจึงออกแบบแพ็กเกจจิ้งสีสดโดดเด่น และเริ่มขายในบาร์และร้านอาหาร ก่อนจะขยายสู่การขายตรงถึงผู้บริโภค
Brightland
Aishwarya Iyer เริ่มต้น Brightland หลังเห็นโอกาสสำคัญในตลาดน้ำมันมะกอก เพราะไม่มีใครรู้เลยว่าน้ำมันมะกอกบนชั้นซูเปอร์มาร์เก็ตมาจากไหน
“ทุกคนยืนงง ๆ หน้าชั้นวางของ ตอนนั้นราวปี 2016–2017 เราก็คิดว่า ‘ต้องมีช่องว่างอะไรสักอย่างตรงนี้แน่ ๆ ที่เราจะสร้างแบรนด์ที่คนรู้สึกตื่นเต้นและอยากวางไว้บนเคาน์เตอร์ครัวได้’” Aishwarya เล่าใน Shopify Masters
เธอลงลึกกับงานศึกษาผลิตภัณฑ์มาก ด้วยการเรียนคอร์สจาก UC Davis Olive Center อ่านหนังสือเกี่ยวกับอุตสาหกรรมนี้ และคุยกับเกษตรกร สิ่งเหล่านี้ช่วยให้เธอสร้างสินค้าที่ทั้งรสชาติดี สนับสนุนเกษตรกรท้องถิ่น และเพิ่มความโปร่งใสให้ตลาดน้ำมันมะกอก นอกจากนี้ Aishwarya ยังออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่ชาญฉลาด ขวดสีขาวป้องกันแสง UV ที่ทั้งสวยและช่วยรักษาคุณภาพน้ำมันโดยป้องกันแสงที่ทำให้เสื่อม
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์
การพัฒนาผลิตภัณฑ์คืออะไร
การพัฒนาผลิตภัณฑ์รวมถึงทุกขั้นตอนที่คุณทำเพื่อนำผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาด ตั้งแต่การสร้างแนวคิดไปจนถึงการสร้างต้นแบบ การคำนวณต้นทุน และการเปิดตัว
จะหาไอเดียสินค้าใหม่ได้ยังไง
หนึ่งในวิธีที่ดีคือดูสินค้าที่มีอยู่ แล้วตั้งคำถามว่าเราจะปรับอะไรได้บ้าง วิธี SCAMPER ช่วยได้มาก โดยเป็นตัวย่อของวิธีคิดหลายรูปแบบ ได้แก่ Substitute, Combine, Adapt, Modify, Put to another use, Eliminate และ Reverse/rearrange ซึ่งทั้งหมดคือแนวทางแปลงสินค้าที่มีอยู่ให้กลายเป็นอะไรใหม่ๆ
ความแตกต่างระหว่างการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการจัดการผลิตภัณฑ์คืออะไร?
การพัฒนาผลิตภัณฑ์คือการสร้างและเปิดตัวสินค้า ส่วนการจัดการผลิตภัณฑ์ (Product Management) คือการดูแลและนำทีมผ่านทุกขั้นตอนของการสร้างสินค้านั้น
การพัฒนาผลิตภัณฑ์มี 8 ขั้นตอนอะไรบ้าง?
- สร้างไอเดีย
- ร่างภาพสินค้า
- ตรวจสอบว่าไอเดียขายได้จริง
- ทำต้นแบบ
- หาแหล่งวัสดุและผู้ผลิต
- คำนวณต้นทุน
- ปล่อยสินค้าทดลอง
- ปรับปรุงและพัฒนาต่อเนื่อง
Minimum Viable Product (MVP) คืออะไร?
ผลิตภัณฑ์ขั้นต่ำที่ใช้งานได้ (MVP) คือเวอร์ชันแรกของผลิตภัณฑ์ของคุณที่มีฟีเจอร์พื้นฐานที่ลูกค้าสามารถทดลองใช้ได้ ช่วยให้คุณตรวจสอบแนวคิดผลิตภัณฑ์ของคุณในระยะแรก รวบรวมข้อเสนอแนะแบบสำรวจจากลูกค้า และทำการปรับปรุงก่อนการเปิดตัวเต็มรูปแบบ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธลดความเสี่ยงในการเริ่มทำสินค้าใหม่ๆ


