ยอดขายรวมของผู้ค้าภายในตลาดขายส่ง ณ เดือนพฤษภาคม 2025 อยู่ที่ 697.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 25.1 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้น 4.8% เมื่อเทียบกับพฤษภาคม 2024
ทั้งนี้ คาดว่าภาพรวมธุรกิจขายส่งทั่วโลกจะมีมูลค่าสูงถึง 57.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 2,077 ล้านล้านบาท) ภายในสิ้นปี 2025 การเริ่มต้นทำธุรกิจขายส่งจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของผู้ประกอบการที่อยากประสบความสำเร็จ โดยเน้นไปที่การพัฒนาผลิตภัณฑ์และการจัดการ มากกว่าการขายตรงหรือการทำการตลาดเองทั้งหมด
ด้วยโมเดลธุรกิจขายส่ง หนึ่งในภาระสำคัญที่สามารถส่งต่อให้ร้านค้าปลีกจัดการแทนได้ก็คือ “การหาลูกค้า”
คู่มือนี้ช่วยอธิบายลักษณะของธุรกิจขายส่ง และวิธีเริ่มต้นทำธุรกิจขายส่งด้วยแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ
ธุรกิจขายส่งคืออะไร?
ธุรกิจขายส่งคือการซื้อสินค้าจำนวนมากจากผู้ผลิต แล้วนำไปขายต่อให้กับผู้ค้าปลีก โดยทั่วไปสินค้าขายส่งจะถูกซื้อในราคาที่ต่ำกว่าปกติ ทำให้ผู้ค้าส่งสามารถทำกำไรได้ ส่วนผู้ค้าปลีกก็จะนำไปขายต่อให้ผู้บริโภคในราคาที่สูงขึ้น
ทำความเข้าใจกับโมเดลธุรกิจขายส่ง
ผู้ค้าส่งทำหน้าที่เป็นตัวกลางในซัพพลายเชน จัดการการส่งสินค้าจากผู้ผลิตไปยังผู้ค้าปลีกให้มีประสิทธิภาพที่สุด ด้วยการซื้อสต็อกในปริมาณมาก ผู้ค้าส่งจึงได้ราคาที่ถูกลง และสามารถส่งต่อความคุ้มค่านี้ให้กับผู้ค้าปลีกได้ อีกทั้งยังช่วยผู้ค้าปลีกหาสินค้าเฉพาะที่ลูกค้าต้องการได้ด้วย
ปัจจุบันโมเดลธุรกิจขายส่งเริ่มเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ส่วนหนึ่งเพราะการเกิดขึ้นของมาร์เก็ตเพลสขายส่ง เช่น Faire ที่เปิดโอกาสให้ธุรกิจเล็ก ๆ เข้ามามีส่วนร่วมในตลาดขายส่งมากขึ้น ด้วยการเข้าถึงกลุ่มผู้ซื้อจากทั่วโลก
ไม่ว่าจะขายผ่านมาร์เก็ตเพลสหรือร้านขายของออนไลน์ของตัวเอง การทำธุรกิจขายส่งในยุคนี้ง่ายกว่าที่เคย เจ้าของกิจการสามารถสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งเฉพาะทางให้ลูกค้าได้ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจอื่น ผู้ค้าปลีก หรือผู้บริโภคโดยตรง
ประเภทของธุรกิจขายส่ง
ธุรกิจขายส่งมีหลายรูปแบบ ดังนี้
-
ผู้จัดจำหน่าย: ซื้อมาสินค้าจำนวนมากจากผู้ผลิต แล้วขายต่อเป็นล็อตใหญ่ให้ผู้ค้าปลีก มักดูแลเรื่องลอจิสติกส์ คลังสินค้า และการขนส่งด้วย
-
ผู้ผลิต (Manufacturers): ผลิตสินค้าเอง และอาจขายตรงให้ผู้ค้าปลีกหรือผู้ค้าส่ง บางรายก็ทำหน้าที่เป็นผู้ค้าส่งเองด้วย
-
ผู้ค้าส่งเชิงพาณิชย์: เป็นตัวกลางในซัพพลายเชน ซื้อสินค้าจำนวนมากจากซัพพลายเออร์ เก็บสต็อก และขายต่อให้ผู้ค้าปลีกในปริมาณที่เล็กลง
-
นายหน้า/เอเย่นต์: ทำหน้าที่เชื่อมต่อระหว่างผู้ค้าส่งกับธุรกิจ แล้วรับค่าคอมมิชชันจากแต่ละดีล
-
สาขาการขายของผู้ผลิต: ธุรกิจขายส่งที่ผู้ผลิตเป็นเจ้าของและบริหารเอง เก็บสต็อกและขายสินค้าของตนตรงไปยังผู้ค้าปลีกหรือธุรกิจอื่น โดยไม่ผ่านผู้ค้าส่งอิสระ
- แพลตฟอร์ม B2B ออนไลน์: เชื่อมผู้ผลิต ผู้ค้าส่ง และผู้ค้าปลีกเข้าด้วยกันแบบดิจิทัล ตัวอย่างเช่น Faire และ Alibaba
ความต่างที่สำคัญของ ขายส่ง vs. ขายปลีก
ขายส่ง คือการที่ธุรกิจขายสินค้าเป็นจำนวนมากให้กับอีกธุรกิจหนึ่ง มักจะขายในราคาที่ถูกกว่า ส่วนการขายปลีก คือการที่ธุรกิจขายสินค้าโดยตรงให้กับลูกค้ารายบุคคล โดยราคาต่อชิ้นจะสูงกว่า
ด้านล่างนี้คือตารางการแจกแจงรายละเอียดความแตกต่าง ระหว่างขายส่งและขายปลีก
|
หมวดหมู่ |
ขายส่ง |
ขายปลีก |
|
ต้นทุนต่อหน่วย |
ราคาต่อหน่วยต่ำ แต่ขายในปริมาณมาก |
ราคาต่อหน่วยสูง แต่ขายในปริมาณน้อย |
|
ความสัมพันธ์กับลูกค้า |
ธุรกิจต่อธุรกิจ (B2B) มักเป็นสัญญาระยะยาวและมีการสั่งซ้ำ |
ธุรกิจต่อผู้บริโภค (B2C) มักเป็นการซื้อแบบครั้งต่อครั้ง หรือผ่านระบบสมัครสมาชิก/สะสมแต้ม |
|
ขนาดออเดอร์ |
ซื้อจำนวนมากหรือเป็นล็อตใหญ่ |
ซื้อจำนวนน้อย เป็นรายบุคคล มักซื้อทีละชิ้นหรือไม่กี่ชิ้น |
|
กลยุทธ์ช่องทางขาย |
พอร์ทัลส่วนตัว ผู้จัดจำหน่าย งานแสดงสินค้า หรือแพลตฟอร์ม B2B เช่น Faire, Alibaba |
ร้านค้าออนไลน์ ร้านค้าปลีกจริง หรือมาร์เก็ตเพลส |
|
การดูแลลูกค้า |
มีผู้จัดการบัญชีดูแลเฉพาะ เน้นประสิทธิภาพ โลจิสติกส์และมาร์จิ้น |
มุ่งเน้นการให้ความรู้เกี่ยวกับสินค้า ความพึงพอใจ และประสบการณ์การบริการ |
|
แนวทางการตลาด |
ขับเคลื่อนด้วยความสัมพันธ์และโฟกัสที่ปริมาณการขาย |
ขับเคลื่อนด้วยอารมณ์และภาพลักษณ์แบรนด์ ใช้เนื้อหาแบบเล่าเรื่อง, UGC และภาพไลฟ์สไตล์สินค้า |
|
ความยืดหยุ่นด้านราคา |
ราคาตามการเจรจา มีเรตราคาตามปริมาณและระยะเวลาสัญญา |
ราคาตายตัว แต่มีส่วนลด โปรโมชัน หรือขายเป็นแพ็กเกจบ้างเป็นครั้งคราว |
วิธีเริ่มต้นธุรกิจขายส่งออนไลน์
หนึ่งในความเข้าใจผิดเกี่ยวกับอีคอมเมิร์ซแบบขายส่งคือ ต้องมีเงินทุนก้อนใหญ่และคอนเนกชันในวงการถึงจะเริ่มได้ แต่จริง ๆ แล้วการทำธุรกิจขายส่งสามารถเริ่มต้นได้เหมือนการเริ่มทำธุรกิจทั่วไปเลย
เครื่องมือและแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้ง่ายขึ้น ตั้งแต่การเจรจากับซัพพลายเออร์ ไปจนถึงการปรับช่องทางการขายให้รองรับการซื้อขายแบบธุรกิจต่อธุรกิจ (B2B)
ทำตามขั้นตอนเหล่านี้เพื่อเริ่มธุรกิจขายส่ง
- ตัดสินใจเลือกว่าสินค้าขายส่งที่จะขายคืออะไร
- เลือกซัพพลายเออร์
- ขอใบอนุญาตและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจขายส่ง
- วางกลยุทธ์กำหนดราคาขายส่ง
- สร้างร้านค้าออนไลน์สำหรับขายส่งด้วย Shopify
- ทำการตลาดและขายสินค้าขายส่ง
- จัดการออเดอร์และระบบการขายให้ราบรื่น
- ขยายทีมให้เติบโตตามธุรกิจ
1. ตัดสินใจเลือกว่าสินค้าขายส่งที่จะขายคืออะไร
การหาสินค้ามาขายส่งอาจดูยากในตอนแรก แต่ถ้ามีเกณฑ์ในการเลือก ก็สามารถสร้างแคตตาล็อกขายส่งที่ทำกำไรได้ไม่ยาก โดยเวลาจะเลือกสินค้า ลองโฟกัสที่ปัจจัยเหล่านี้
ฤดูกาล
สินค้าบางประเภทขายดีเฉพาะช่วง เช่น ชุดว่ายน้ำมักขายดีช่วงหน้าร้อน ในขณะที่เสื้อโค้ทจะเป็นที่ต้องการในหน้าหนาว ส่วนสินค้าบางอย่างก็ขายได้เรื่อย ๆ ตลอดทั้งปี การรู้จักแพทเทิร์นแบบนี้ช่วยให้วางแผนสต็อกและการตลาดได้แม่นขึ้น
กำไรต่อชิ้น
เรื่องอัตรากำไรสำคัญมาก เช่น ถ้าซื้อมักแก้วมาในราคา 72 บาท แล้วขายต่อผู้ค้าปลีกที่ 288 บาท กำไรต่อแก้วจะอยู่ที่ 216 บาท การรู้ตัวเลขนี้ทำให้ตั้งราคาที่คุ้มได้ ทั้งกับธุรกิจเราและลูกค้าปลีกที่ต้องบวกกำไรต่อ
ขนาดและน้ำหนัก
ค่าขนส่งมีผลเยอะกับราคาขาย ยิ่งสินค้าชิ้นเล็กและเบา เช่น เครื่องประดับ ก็ช่วยประหยัดต้นทุนขนส่งได้มาก เหมาะกับคนที่เริ่มทำธุรกิจขายส่งด้วยเงินทุนจำกัด
ความถี่ในการซื้อ
สินค้าที่ลูกค้าต้องใช้บ่อย ๆ เช่น หมึกพิมพ์ หรืออาหารสัตว์ จะสร้างรายได้ต่อเนื่องมากกว่า เพราะมีการซื้อซ้ำบ่อย ทำให้การวางแผนสต็อกง่ายขึ้นและธุรกิจเดินได้ลื่นไหลกว่า
การแข่งขัน
การสังเกตคู่แข่งช่วยให้เห็นช่องว่างในตลาด เช่น ถ้าไม่มีผู้ค้าส่งสบู่ที่ทำกลิ่นลาเวนเดอร์ นี่อาจเป็นจุดขายเฉพาะตัวของคุณได้เลย
ความเชี่ยวชาญ
ใช้ความรู้หรือประสบการณ์ที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์ เช่น ถ้าคุณชอบออกกำลังกาย ก็น่าจะพอรู้ว่าคนรักฟิตเนสอยากได้สินค้าแบบไหน หรือถ้าเคยทำงานในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับผู้ผลิตหรือร้านค้า นั่นก็เป็นฐานที่ดีในการเลือกสินค้า
การวิเคราะห์ตลาด
ทำการบ้านให้ครบ ทั้งการดูเทรนด์ ความต้องการ การแข่งขัน และราคาตลาด ใช้เครื่องมืออย่าง Google Trends รายงานอุตสาหกรรม หรือแบบสอบถามลูกค้า เพื่อให้ตัดสินใจได้มั่นใจกว่า
2. เลือกซัพพลายเออร์
ถ้าไม่ได้ผลิตสินค้าเอง สิ่งสำคัญคือการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ผลิตและซัพพลายเออร์ เพราะธุรกิจขายส่งจะไปต่อได้ ต้องมีสต็อกที่มั่นคงและต่อเนื่องเสมอ ผู้ค้าปลีกมักเลี่ยงทำงานกับผู้ค้าส่งที่ไม่สามารถมีสินค้าที่ลูกค้าชื่นชอบพร้อมขายได้
เวลาเลือกซัพพลายเออร์ ลองโฟกัสที่ปัจจัยด้านล่างนี้
-
กระจายความเสี่ยง อย่าผูกกับซัพพลายเออร์เจ้าเดียว การทำงานกับหลายเจ้าจะช่วยให้มีทางเลือกสำรอง ถ้าเจ้าหนึ่งส่งของไม่ทัน
-
ความน่าเชื่อถือ เลือกซัพพลายเออร์ที่มีผลงานส่งของตรงเวลา เพราะความล่าช้าสามารถกระทบทั้งธุรกิจและทำให้ลูกค้าผิดหวัง
- คุณภาพสินค้า ต้องมั่นใจว่าสินค้าที่ได้คุณภาพดี เพราะของที่ไม่ผ่านมาตรฐานจะกระทบชื่อเสียงและความสัมพันธ์กับลูกค้าได้
วิธีหาซัพพลายเออร์ก็มีหลายแบบ จะติดต่อโดยตรง ขอให้คนในวงการแนะนำ หรือใช้ฐานข้อมูลออนไลน์ของซัพพลายเออร์ก็ได้
การตั้งข้อจำกัดหรือข้อกำหนดที่ชัดเจนกับซัพพลายเออร์ถือว่าสำคัญ เช่น กำหนดเวลาส่งสินค้า วิธีตรวจสอบคุณภาพ หรือแนวทางแก้ปัญหาถ้าเกิดการส่งล่าช้า จะช่วยให้การทำงานเป็นระบบและเป็นมืออาชีพมากขึ้น
ประเภทธุรกิจซัพพลายเออร์ขายส่ง
ซัพพลายเออร์ขายส่งมีหลายประเภท แต่ละแบบก็มีข้อดีและข้อจำกัดต่างกันไป เช่น
- ผู้ผลิต (Manufacturers): ผลิตสินค้าโดยตรง ทำให้ได้ราคาที่ถูกที่สุด แต่ปริมาณสั่งขั้นต่ำ (MOQ) มักจะสูง และการปรับแต่งสินค้าต้องใช้เวลา
- ผู้จัดจำหน่าย (Distributors): ซื้อสินค้าจากผู้ผลิตแล้วขายต่อเป็นล็อตใหญ่ เหมาะกับแบรนด์ขนาดเล็กที่อยากเริ่มง่าย แต่ราคาจะถูกบวกกำไรเพิ่มขึ้นมาบ้าง
- ผู้นำเข้า/ส่งออก: เชี่ยวชาญการนำเข้าส่งออกสินค้า ข้อดีคือมีราคาที่แข่งขันได้และมีสินค้าที่แตกต่าง แต่ระยะเวลาขนส่งจะยาวกว่า และค่าขนส่งสูงขึ้น
- ซัพพลายเออร์ดรอปชิป: ให้ขายสินค้าได้โดยไม่ต้องสต็อกสินค้าเอง เหมาะสำหรับการทดสอบความต้องการตลาด แต่กำไรต่อชิ้นจะน้อยกว่า และควบคุมคุณภาพได้ยากกว่า
มาร์เก็ตเพลสขายส่งระดับโลก
ตัวอย่างแพลตฟอร์มขายส่งที่ได้รับความนิยมทั่วโลก ได้แก่
- Alibaba: มาร์เก็ตเพลส B2B ขนาดใหญ่จากจีน เหมาะสำหรับการหาสินค้าหลากหลายประเภทในปริมาณมาก
- IndiaMART: แพลตฟอร์มขายส่งที่ใหญ่ที่สุดของอินเดีย เหมาะกับสิ่งทอ เสื้อผ้า และของใช้ในบ้าน
- Faire: มาร์เก็ตเพลสที่คัดสรรจากสหรัฐฯ และยุโรป เชื่อมแบรนด์อินดี้กับร้านบูติก เหมาะสำหรับการสั่งล็อตเล็กหรือทดลองตลาด
ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของซัพพลายเออร์
วิธีคัดกรองซัพพลายเออร์ให้มั่นใจว่าเชื่อถือได้
- มองหาการรับรองมาตรฐาน เช่น ISO หรือ Fair Trade
- ตรวจสอบเวลาส่งสินค้า (lead time) ว่าเหมาะกับธุรกิจ และมีศักยภาพในการขยายตามการเติบโต
- เช็กขั้นต่ำการสั่งซื้อ (MOQ) ว่าสอดคล้องกับกระแสเงินสด
- อ่านรีวิวจากผู้ซื้อรายอื่น โดยเฉพาะบนแพลตฟอร์มบุคคลที่สาม
- ดูความรวดเร็วและชัดเจนในการสื่อสาร ยิ่งตอบไว ยิ่งน่าเชื่อถือ
- ทดสอบคุณภาพด้วยการสั่งตัวอย่างสินค้าก่อนทำการสั่งล็อตใหญ่ทุกครั้ง
3. ขอใบอนุญาตและเอกสารธุรกิจขายส่ง
เพื่อให้การทำธุรกิจถูกต้องตามกฎหมาย สิ่งสำคัญคือการยื่นขอใบอนุญาตและเอกสารที่เกี่ยวข้องให้ครบก่อนเริ่มธุรกิจขายส่ง
ตัวอย่างใบอนุญาตและเอกสารที่อาจต้องใช้ ได้แก่
- การจดทะเบียนพาณิชย์: ยื่นจดทะเบียนพาณิชย์กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) เพื่อให้ธุรกิจถูกต้องตามกฎหมาย
- การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม: ถ้ามีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องจด VAT กับกรมสรรพากร
- เลขประจำตัวผู้เสียภาษี: ธุรกิจทุกประเภทต้องมีเลขผู้เสียภาษี ซึ่งออกโดยกรมสรรพากร
- ใบอนุญาตเฉพาะ: ขึ้นอยู่กับประเภทสินค้า เช่น อาหารและเครื่องดื่มต้องมีใบอนุญาตจาก อย. (สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) หรือถ้าเป็นสินค้านำเข้า–ส่งออกต้องขอใบอนุญาตจากกรมศุลกากร
- การจดทะเบียนนิติบุคคล: หากต้องการสร้างเครดิตขอสินเชื่อหรือร่วมงานกับคู่ค้ารายใหญ่ แนะนำให้จดทะเบียนบริษัทจำกัด หรือบริษัทมหาชนจำกัด
คุณสามารถปรึกษากับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กรมสรรพากร หรือสำนักงานเขต/เทศบาลในพื้นที่ เพื่อเช็กให้แน่ใจว่ามีเอกสารครบก่อนเริ่มดำเนินธุรกิจ
4. วางกลยุทธ์กำหนดราคาขายส่ง
กลยุทธ์การตั้งราคาเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจขายส่งที่ประสบความสำเร็จ เพราะราคาที่ใช้กับลูกค้าออนไลน์ ร้านค้าปลีกรายเล็ก หรือธุรกิจใหญ่ที่สั่งล็อตใหญ่ ย่อมต้องแตกต่างกัน
โดยทั่วไป ธุรกิจขายส่งที่ไปได้สวยมักจะตั้งราคาที่ทำให้ได้กำไรขั้นต่ำราว 50% สำหรับออเดอร์ล็อตใหญ่ และจะเพิ่มมาร์จิ้นกำไรเมื่อขายในปริมาณที่น้อยลง
ตัวอย่างเช่น กลยุทธ์การตั้งราคาที่ธุรกิจขายส่งได้กำไร 50% จากการขายส่ง และได้กำไร 75% จากการขายตรงให้ผู้บริโภค ในที่นี้ MSRP หมายถึงราคาขายปลีกที่ผู้ผลิตแนะนำ

ตัวอย่างเช่น สมมติว่าต้นทุนการผลิตสินค้าชิ้นหนึ่งอยู่ที่ 720 บาท
- ถ้าขายส่งที่ราคา 1,440 บาท กำไรจะอยู่ที่ 720 บาท คิดเป็นกำไร 50%
- ถ้าขายตรงให้ผู้บริโภคที่ราคา 2,880 บาท กำไรจะอยู่ที่ 2,160 บาท หรือประมาณ 75%
กลยุทธ์การตั้งราคาที่ดีสำหรับผู้จัดจำหน่ายขายส่ง คือสามารถรักษามาร์จิ้นกำไรไว้ได้ พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้ค้าปลีก (ซึ่งเป็นลูกค้า) มีกำไรด้วยเช่นกัน
ยังดีที่มีอีกหลายวิธีในการตั้งราคาสินค้าขายส่งเพื่อลดความเสี่ยง วิธีที่นิยมกันก็คือการให้ส่วนลดตามปริมาณการสั่งซื้อ
กำหนดการสั่งซื้อขั้นต่ำ
ธุรกิจขายส่งส่วนใหญ่จะกำหนดปริมาณการสั่งซื้อขั้นต่ำ (MOQ) ที่ผู้ค้าปลีกต้องซื้อถึงจึงจะสั่งได้ จากนั้นสามารถใช้กลยุทธ์การตลาดเพื่อกระตุ้นให้ผู้ค้าปลีกสั่งจำนวนมากขึ้น เพื่อให้ได้มาร์จิ้นที่ดีกว่าเวลานำไปขายต่อ
ราคาขายปลีกกลาง
อีกหนึ่งกลยุทธ์การตั้งราคาที่ช่วยให้รายได้เสถียร คือราคาขายปลีกกลาง (MSRP) ซึ่งช่วยป้องกันไม่ให้ผู้ค้าปลีกแข่งกันตัดราคา และช่วยรักษาระดับราคาและมาร์จิ้นให้นิ่งขึ้น
โดยทั่วไป MSRP จะถูกระบุไว้ในสัญญาระหว่างผู้ค้าส่งและผู้ค้าปลีก เพื่อให้ผู้ค้าปลีกขายตามราคาที่แนะนำ ยกเว้นในช่วงโปรโมชันหรืองานลดราคาพิเศษอย่าง Black Friday
ในฐานะผู้ค้าส่ง คุณสามารถตั้งเงื่อนไขการขายให้ผู้ค้าปลีกได้ แต่สิ่งสำคัญคือต้องแน่ใจว่าผู้ค้าปลีกยังมีกำไรจากการขายสินค้าของคุณเช่นกัน
การตั้งเงื่อนไขการชำระเงิน
อีกหนึ่งเรื่องสำคัญของการตั้งราคาคือการกำหนดเงื่อนไขการจ่ายเงิน โดยทั่วไปผู้ค้าปลีกจำนวนมากไม่สามารถจ่ายเงินค่าสต็อกเต็มจำนวนได้ตั้งแต่แรก ดังนั้นการให้เครดิตแบบ Net Payment Terms จะช่วยให้ผู้ค้าปลีกจ่ายเงินหลังจากขายสินค้าออกไปแล้ว
สามารถตั้งเงื่อนไขเฉพาะให้แต่ละเจ้าได้ ขึ้นอยู่กับขนาดการสั่งซื้อและความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่ผ่านมา เงื่อนไขยอดนิยม เช่น
- จ่ายทันที: ลูกค้าชำระเงินเต็มจำนวนตอนสั่งซื้อ
- เครดิตตามกำหนด: ลูกค้าชำระเงินตามวันที่ตกลงกัน เช่น 15, 30 หรือ 90 วันหลังสั่ง
- จ่ายเมื่อส่งมอบสินค้า: ลูกค้าชำระเงินก็ต่อเมื่อได้รับสินค้าหรือเมื่อออเดอร์ถูกจัดส่งสำเร็จ
Shopify มีตัวเลือกเงื่อนไขการจ่ายเงินให้เลือกถึง 8 แบบ เช่น เครดิต 30 วัน, จ่ายทันทีที่ออกบิล หรือจ่ายเมื่อส่งมอบสินค้าเรียบร้อยแล้ว และยังสามารถตั้งวันครบกำหนดจ่ายเองได้ด้วย

การตั้งราคาขายส่งสำหรับตลาดต่างประเทศ
เวลาตั้งราคาสินค้าขายส่งเพื่อส่งออกไปยังต่างประเทศ สิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการไทยต้องนึกถึง คือความผันผวนของค่าเงินบาท เพราะอัตราแลกเปลี่ยนเปลี่ยนเร็วมาก ถ้าเงินบาทแข็งขึ้น อาจทำให้กำไรที่ได้จากการขายต่างประเทศลดลงได้
อีกปัจจัยที่มีผลโดยตรงคือภาษีนำเข้าและอากรในประเทศคู่ค้า เช่น ภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ หรือภาษีนำเข้าสินค้าของสหภาพยุโรป ซึ่งอาจทำให้ราคาสุดท้ายสูงขึ้น รวมถึง ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ที่แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ
ค่าใช้จ่ายด้านขนส่งและโลจิสติกส์ก็เป็นตัวแปรสำคัญ โดยเฉพาะออเดอร์ระหว่างประเทศ ทั้งราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น เวลาขนส่งที่ยาวเพราะขั้นตอนศุลกากร และค่าเก็บสต็อกในคลังสินค้าต่างประเทศ สิ่งเหล่านี้ล้วนเพิ่มต้นทุนรวม
นอกจากนี้ยังต้องเตรียมพร้อมเรื่องกฎระเบียบด้านความปลอดภัยและมาตรฐานสินค้า เช่น อย. GMP หรือฮาลาล สำหรับอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงมาตรฐานบรรจุภัณฑ์หรือใบรับรองเฉพาะประเทศ สิ่งเหล่านี้อาจทำให้การเข้าสู่ตลาดล่าช้าและเพิ่มต้นทุนแฝงเข้ามา
นอกจากนี้ ยังต้องเผื่อเรื่องกฎความปลอดภัยของสินค้า มาตรฐานบรรจุภัณฑ์ หรือใบรับรองที่จำเป็น ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจทำให้การนำสินค้าออกสู่ตลาดช้าลง และซ่อนต้นทุนเพิ่มเติมเข้ามาด้วย
5. สร้างร้านขายส่งออนไลน์ด้วย Shopify
Shopify คือวิธีที่ง่ายที่สุดในการขายส่งให้กับธุรกิจอื่นบนโลกออนไลน์ เพราะฟีเจอร์ B2B ของ Shopify ถูกออกแบบมาให้สร้างประสบการณ์ช้อปปิ้งที่ตรงกับลูกค้าแต่ละกลุ่มได้จริง ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าที่สั่งล็อตใหญ่แบบกำหนดเอง หรือสั่งซื้อสินค้าเพียงไม่กี่ชิ้น
ฟีเจอร์หลักที่ช่วยให้สร้างร้านขายส่งออนไลน์บน Shopify ได้ มีดังนี้
โปรไฟล์บริษัท
โปรไฟล์ลูกค้าแบบ B2B บน Shopify ถูกออกแบบมาเพื่อธุรกิจขายส่งโดยเฉพาะ โดยหนึ่งโปรไฟล์สามารถครอบคลุมผู้ซื้อหลายรายและหลายสาขา ทำให้เก็บข้อมูลลูกค้าไว้ในที่เดียวครบถ้วน
ในแต่ละโปรไฟล์สาขายังมีช่องข้อมูลที่จำเป็นต่อการขายส่งทั้งหมด เช่น เงื่อนไขการจ่ายเงิน แคตตาล็อกสินค้า การยกเว้นภาษี รวมถึงสิทธิ์การใช้งาน ซึ่งสามารถจัดการได้โดยตรงจากหน้าโปรไฟล์

แคตตาล็อก
แค็ตตาล็อกมีฟีเจอร์หลัก 3 อย่าง ที่ช่วยปรับแต่งประสบการณ์ซื้อขายส่ง (B2B) ได้ง่ายขึ้น ดังนี้
- ลิสต์ราคา: ตั้งราคาขายส่งได้ทั้งแบบกำหนดตัวเลขตายตัว หรือแบบส่วนลดเป็นเปอร์เซ็นต์จากราคาขายปลีก พร้อมกำหนดเงื่อนไขขั้นต่ำ ขั้นสูงสุด และจำนวนการสั่งต่อ SKU ได้
- การเผยแพร่สินค้าเฉพาะลูกค้า: จัดกลุ่มแค็ตตาล็อกเพื่อแสดงสินค้าที่แตกต่างกันให้ลูกค้าคนละกลุ่มได้
- การตั้งราคาตามปริมาณ: เสนอส่วนลดพิเศษเพิ่มเติมตามจำนวนสินค้าที่ลูกค้าใส่ในตะกร้า
บัญชีลูกค้า
ฟีเจอร์บัญชีลูกค้าช่วยให้คุณสามารถแสดงสินค้าและราคาขายส่ง (B2B) ให้กับคู่ค้าของคุณได้ โดยที่ยังคงเก็บหน้าสินค้าเดิมไว้สำหรับลูกค้าทั่วไป (B2C)
เมื่อผู้ค้าปลีกล็อกอินเข้าสู่ร้านก็จะสามารถจัดการคำสั่งซื้อ ดูประวัติการสั่งซื้อที่ผ่านมา และบันทึกข้อมูลบัญชีได้อย่างสะดวก

ใช้ฟีเจอร์เหล่านี้เพื่อรองรับทั้งผู้ค้าปลีก ตัวแทนจำหน่าย และผู้บริโภคโดยตรงจากร้าน Shopify ของคุณ
6. ทำการตลาดและขายสินค้าขายส่ง
เมื่อคุณมีไอเดียธุรกิจขายส่งที่ทำกำไรได้ มีแผนการตั้งราคา และมีหน้าร้านออนไลน์เรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการหาลูกค้าขายส่งที่ใช่
ต่างจากการขายปลีกที่อาจต้องทำการตลาดหนัก ๆ เพื่อหาลูกค้าปลายทาง แต่การขายส่งนั้น “การมองเห็น” ของร้านคุณต่อผู้ค้าปลีกถือว่าสำคัญมาก แล้วจะทำยังไงให้พวกเขามองเห็นธุรกิจของคุณ?
ใช้เว็บไซต์ของคุณให้เป็นประโยชน์
ถ้าคุณมีเว็บไซต์ขายตรงถึงผู้บริโภค (DTC) อยู่แล้ว นั่นแหละคือจุดเริ่มต้นที่ดี เพราะบ่อยครั้งผู้ค้าปลีกและผู้จัดจำหน่ายมักจะติดต่อหาสโตร์ออนไลน์ที่เริ่มมีชื่อเสียง เพื่อขอซื้อมาสต๊อกหรือขยายการจัดจำหน่าย
คุณสามารถต่อยอดความสนใจแบบนี้ได้ด้วยการตั้งชื่อแบรนด์ให้น่าจดจำ และสร้างความชัดเจนว่าคุณ “เปิดรับ” การทำธุรกิจขายส่ง วิธีง่ายที่สุดคือใส่ลิงก์ “ติดต่อสำหรับการขายส่ง” เอาไว้ที่ส่วนท้าย (footer) ของเว็บไซต์ เพื่อให้ผู้ค้าปลีกเข้าถึงคุณได้ทันที
Rockwell Razors วางลิงก์สำหรับฟอร์มสอบถามการซื้อขายส่งไว้ที่ส่วนท้ายเว็บไซต์ ทำให้ผู้สนใจเข้าถึงได้ง่าย
เปิดโอกาสให้ลูกค้ากรอกฟอร์มผ่านร้านค้าออนไลน์ของคุณ เพื่อขอความร่วมมือทางธุรกิจแบบ B2B
เข้าร่วมมาร์เก็ตเพลสขายส่ง
คุณสามารถเข้าถึงผู้ค้าปลีกจำนวนมากได้โดยการนำสินค้าของคุณไปลงขายในมาร์เก็ตเพลสขายส่ง วิธีนี้ช่วยให้ธุรกิจของคุณกระจายตัวไปตามช่องทางการขายที่หลากหลายและเข้าถึงผู้ซื้อรายใหม่ ๆ ได้มากขึ้น
ก่อนเลือกมาร์เก็ตเพลส ควรศึกษาข้อมูลและอ่านเงื่อนไขให้ละเอียด เนื่องจากบางแพลตฟอร์มอาจต้องการสิทธิ์ขายแบบผูกขาด และแต่ละแพลตฟอร์มก็มีโครงสร้างค่าธรรมเนียมที่แตกต่างกัน
เข้าร่วมงานแสดงสินค้า
งานแฟร์หรืองานแสดงสินค้าถือเป็นหนึ่งในช่องทางที่ผู้ค้าส่งใช้เชื่อมต่อกับลูกค้ามาอย่างยาวนาน ไม่ว่าคุณจะอยู่ในกลุ่มสินค้าไหน เช่น เสื้อผ้าเด็ก หรือของแต่งบ้าน ก็มักจะมีงานแสดงสินค้าที่ตรงกับอุตสาหกรรมนั้น ๆ เสมอ โดยคุณสามารถค้นหารายชื่องานได้จากไดเรกทอรีของงานแสดงสินค้า
การมีบูธในงานเหล่านี้ช่วยให้คุณได้พบปะและสร้างเครือข่ายกับผู้ค้าปลีกโดยตรง แต่ต้องไม่ลืมว่างานแสดงสินค้ามีค่าใช้จ่ายสูง ทั้งเรื่องการวางแผน ค่าเดินทาง และค่าเช่าพื้นที่บูธ
ก่อนจะตัดสินใจลงทุน ลองไปเดินงานในฐานะผู้เข้าชมก่อนเพื่อดูบรรยากาศและประเมินโอกาส จากนั้นจึงค่อยตัดสินใจว่าการมีบูธในงานนั้นคุ้มค่ากับธุรกิจคุณหรือไม่
สูตรง่าย ๆ ในการประเมินความคุ้มค่าของงานแสดงสินค้า คือ
ROI (%) = [(รายได้รวมจากงาน – ต้นทุนรวมของงาน) ÷ ต้นทุนรวมของงาน] × 100
สูตรนี้ช่วยวัดผลตอบแทนจากค่าใช้จ่ายทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นค่าบูธ ค่าเดินทาง ค่าจ้างทีมงาน หรือค่าการตลาด และอย่าลืมนับทั้งรายได้ทันที (เช่น การสั่งซื้อหน้างาน) และรายได้ระยะยาว (เช่น การสั่งซื้อซ้ำจากคู่ค้าขายส่ง) รวมเข้าไปด้วยในการคำนวณ
ใช้ข้อเสนอพิเศษดึงดูดผู้ซื้อ
ไม่ต่างจากผู้บริโภคทั่วไป ลูกค้าขายส่งก็มักจะใจอ่อนกับ “ข้อเสนอจูงใจ” เช่นกัน ตัวอย่างที่เห็นบ่อยคือการให้ส่วนลดกับออเดอร์แรก หรือลดราคาเมื่อสั่งจำนวนมาก ซึ่งช่วยให้ลูกค้าอยากเริ่มต้นซื้อกับคุณได้ง่ายขึ้น
นอกจากนี้ยังมีอีกหลายวิธีที่ช่วยกระตุ้นยอดขาย เช่น
-
ตั้งขั้นต่ำการสั่งซื้อต่ำ ๆ เพื่อเปิดโอกาสให้ลูกค้าใหม่ทดลองสั่งโดยไม่ต้องใช้เงินก้อนใหญ่
-
โปรส่งฟรี กำหนดเงื่อนไขตามยอดสั่งซื้อหรือโซนจัดส่ง
-
ลดราคาแบบยกลัง ยิ่งสั่งเยอะ ยิ่งคุ้ม
-
รองรับหลายช่องทางการจ่ายเงิน ให้ลูกค้าเลือกวิธีที่สะดวกที่สุด
-
แพ็กเกจดีล ซื้อสินค้าหลายชิ้นรวมกันในราคาพิเศษ
-
โค้ดส่วนลด จะเป็นแบบจำกัดเวลาหรือเฉพาะลูกค้าก็ได้
- ให้ลองของฟรี ทั้งตัวอย่างหรือสินค้าทดลอง เพื่อสร้างความมั่นใจ
อีกกลยุทธ์ที่หลายเจ้าชอบใช้คือดรอปชิป เพราะลูกค้าไม่ต้องสต็อกสินค้าเอง แค่รับออเดอร์ แล้วคุณจัดส่งตรงถึงมือผู้ซื้อปลายทางให้ทันที ถือเป็นข้อเสนอที่ช่วยดึงลูกค้าปลีกเข้ามาได้ง่าย แถมยังลดต้นทุนให้พวกเขาอีกด้วย
ช่องทางขายส่งมีข้อดีอีกอย่างที่ต่างจากการขายตรงถึงผู้บริโภค คือคุณไม่จำเป็นต้องมีลูกค้าปริมาณมากเสมอไป ขอแค่มีร้านค้าปลีกคุณภาพเพียงไม่กี่รายที่ขายสินค้าของคุณได้ดี พวกเขาก็จะกลับมาสั่งซ้ำ และอาจเพิ่มยอดสั่งซื้อเรื่อย ๆ
จับมือกับแบรนด์ที่โตไปด้วยกันได้ผ่าน Shopify Collective
ช่องทางขายส่งมีข้อดีที่ต่างจากการขายตรงถึงผู้บริโภคตรง ๆ ตรงที่คุณไม่จำเป็นต้องหาลูกค้าทีละเยอะ ๆ ขอแค่มีร้านค้าปลีกที่เหมาะสมและขายของคุณได้จริง ก็มีโอกาสที่เขาจะกลับมาสั่งซ้ำ แถมอาจเพิ่มปริมาณการสั่งในอนาคต
วิธีหาพาร์ตเนอร์แบบนี้ทำได้ง่าย ๆ เช่น ลองติดต่อแบรนด์ที่สินค้าดูเข้ากันได้กับคุณ อย่างขายแก้วมัคก็ไปจับคู่กับร้านกาแฟพิเศษ หาช่องทางติดต่อผ่านฟอร์มบนเว็บไซต์ ส่ง DM ไปทางโซเชียล หรือใช้ Shopify Collective เพื่อเชื่อมกับแบรนด์ที่มีแนวคิดใกล้กัน
เวลาเข้าหาแบรนด์อื่น ๆ สิ่งสำคัญคือชวนคุยด้วยข้อเสนอที่ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย เขียนให้สั้น กระชับแล้วอย่าลืมปิดท้ายด้วยการชวนให้ลงมือในขั้นตอนถัดไปอย่างชัดเจน เช่น นัดโทรคุย หรือกรอกฟอร์มติดต่อกลับ
ด้านล่างนี้คือตัวอย่างอีเมลที่สามารถปรับใช้ได้
หัวข้อ: เสนอไอเดียแคมเปญคอลแลปฯ [แบรนด์ A] + [แบรนด์คุณ]
สวัสดีครับ คุณ[ชื่อผู้รับอีเมล]
เราเห็นว่า [แบรนด์ A] มีฐานลูกค้าที่ให้ความสำคัญกับ [หมวดหมู่สินค้า] คุณภาพสูง ซึ่งตรงกับกลุ่มเป้าหมายของเราเช่นกัน จึงอยากเสนอแนวทางในการทำแคมเปญร่วมกัน
หากสนใจ สัปดาห์หน้าลองนัดพูดคุยไอเดียกันสั้น ๆ (ประมาณ 15 นาที) ได้เลยครับ
ขอบคุณครับ
[ชื่อคุณ] | [แบรนด์คุณ]
7. จัดการออเดอร์และระบบการขายให้ราบรื่น
การทำธุรกิจขายส่งในแต่ละวัน สิ่งสำคัญคือการให้ระบบโลจิสติกส์และการจัดส่งทำงานได้อย่างราบรื่น การใช้เครื่องมือที่ช่วยอัตโนมัติ เช่น ระบบประมวลผลคำสั่งซื้อ การรวมออเดอร์ และการซิงก์กับคลังสินค้า จะช่วยประหยัดเวลาอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อคุณต้องรับมือกับออเดอร์จำนวนมากหรือออเดอร์ที่ซ้ำประจำ
ไม่ว่าคุณจะเลือกจัดการคลังสินค้าเอง หรือใช้บริการผู้ให้บริการโลจิสติกส์ภายนอก (3PL) สิ่งสำคัญคือระบบทั้งหมดต้องเชื่อมต่อกันได้ และขยายต่อได้เมื่อธุรกิจเติบโต
การจัดการสต็อกสินค้า
การบริหารสต็อกที่ดีคือหัวใจของกำไรที่มั่นคง ควรใช้ข้อมูลยอดขายในอดีตและความต้องการตามฤดูกาลมาช่วยคาดการณ์ พร้อมกับใช้ระบบติดตามเพื่อลดความเสี่ยงจากการสต็อกเกินความจำเป็น
หากคุณกำลังชั่งใจระหว่างการจัดการคลังสินค้าเองกับการใช้ 3PL ประเด็นหลักคือเรื่องการควบคุม vs. ความยืดหยุ่น
- 3PL ช่วยลดภาระงานและพื้นที่เก็บสินค้า
- แต่การจัดการเองทำให้คุณควบคุมรายละเอียดทุกขั้นตอนได้เต็มที่
ไม่ว่าทางเลือกไหน การมีระบบจัดการสต็อกที่ดีจะช่วยให้ธุรกิจทำงานแบบลีนและลดของเสียได้จริง
การรักษาแบรนด์และสร้างพาร์ตเนอร์
ในการขายส่ง อย่าลืมรักษาภาพลักษณ์แบรนด์ของคุณให้คงที่ กำหนดกติกาชัดเจนเรื่องราคา เช่น นโยบาย MAP (Minimum Advertised Price) เพื่อป้องกันการตัดราคา
เตรียมสื่อการตลาด (Marketing Assets) ให้ร้านค้าพาร์ตเนอร์สามารถใช้ได้ เพื่อให้ข้อความและภาพลักษณ์ไปในทิศทางเดียวกัน นอกจากนี้คุณยังสามารถเสนอไอเดียทำแคมเปญร่วม เช่น โปรโมชั่นพิเศษ หรือการทำบันเดิลสินค้าสุดเอ็กซ์คลูซีฟ สิ่งเหล่านี้ช่วยสร้างความสม่ำเสมอ และสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวที่แข็งแรงกับคู่ค้า
8.ขยายทีมให้เติบโตตามธุรกิจ
การเริ่มต้นธุรกิจขายส่งสามารถทำได้ด้วยตัวคนเดียว แต่เมื่อธุรกิจขยายใหญ่ขึ้น ความต้องการทักษะที่หลากหลายก็เพิ่มขึ้นตาม ทีมงานที่แข็งแรงจะช่วยผลักดันธุรกิจให้เดินหน้าได้อย่างมั่นคง ไม่ว่าจะเป็นด้านการบริการลูกค้า การจัดการสต็อก หรือการวิเคราะห์การเงิน
ตัวอย่างตำแหน่งงานที่มักจำเป็นเมื่อธุรกิจขายส่งเริ่มเติบโต
-
Customer Success Manager (ผู้จัดการความสัมพันธ์ลูกค้า) ดูแลร้านค้าปลีก คอยช่วยเพิ่มยอดขาย และทำให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด
-
Quality Assurance Supervisor (หัวหน้าควบคุมคุณภาพ) ทำงานร่วมกับผู้ผลิตและซัพพลายเออร์ เพื่อตรวจสอบคุณภาพของสินค้าให้ได้มาตรฐาน
-
Logistics Coordinator (ผู้ประสานงานด้านโลจิสติกส์) รับผิดชอบการจัดการออเดอร์จำนวนมาก และทำให้การจัดส่งเป็นไปอย่างตรงเวลา
-
Inventory Analyst (นักวิเคราะห์สต็อกสินค้า) คอยติดตามและคาดการณ์ความต้องการสต็อกที่ซับซ้อน เพื่อให้มีของขายอย่างต่อเนื่อง
-
Office Administrator / Virtual Assistant (ผู้ดูแลงานธุรการ/ผู้ช่วยออนไลน์) ช่วยจัดการงานประจำวัน ทำให้ทีมหลักมีเวลาโฟกัสกับการขยายธุรกิจ
- Growth Marketer (นักการตลาดเพื่อการเติบโต) มองหาลูกค้าปลีกรายใหม่ และสร้างโอกาสการขายเพิ่มเติมให้กับธุรกิจ
ไอเดียสินค้าขายส่งที่กำลังมาแรง
ถ้าพูดถึงการขายส่งในธุรกิจ B2B ออนไลน์ ต้องบอกเลยว่าโอกาสมีให้เลือกแบบไม่รู้จบ ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้เล่นเก่าที่มีประสบการณ์ หรือเพิ่งเริ่มต้นธุรกิจ ก็สามารถต่อยอดไลน์สินค้าได้ง่าย ๆ ด้วยไอเดียหมวดหมู่ขายส่งที่มาแรงเหล่านี้
สื่อและอุปกรณ์การเรียน
ตลาดอุปกรณ์การศึกษาเป็นหนึ่งในตลาดที่ใหญ่และเติบโตต่อเนื่องทุกปี แค่ในสหรัฐฯ ก็มีนักเรียนกว่า 55 ล้านคน และครูอีกนับล้านที่ต้องใช้อุปกรณ์เหล่านี้ในทุกวัน
ไอเดียสินค้าที่น่าลองทำขายส่งในหมวดนี้
- อุปกรณ์ศิลปะและงานประดิษฐ์
- ซอฟต์แวร์การศึกษา
- ปากกา ดินสอ และเครื่องเขียน
- สมุด แฟ้ม และบายนเดอร์
- คอมพิวเตอร์
- เครื่องคิดเลข
- กระเป๋าเป้
- หนังสือเรียน
- กล่องข้าวกลางวัน
- ของเล่น เกม และพัซเซิล
ของแต่งบ้าน
ตลาดสินค้าเกี่ยวกับการปรับปรุงและของแต่งบ้านทั่วโลกคาดว่าจะมีมูลค่าทะลุ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2034 ทำให้หมวดนี้เป็นอีกหนึ่งตลาดที่แข็งแรงและเหมาะสำหรับการทำธุรกิจขายส่ง
ตัวอย่างสินค้าที่น่าสนใจสำหรับขายส่งในหมวดของแต่งบ้าน ได้แก่
- งานศิลป์สำหรับตกแต่งผนัง
- เทียนหอม
- กระถาง แจกัน และต้นไม้
- วอลเปเปอร์และสีทาบ้าน
- พื้นไม้หรือวัสดุปูพื้น
- พรมและพรมปูทางเดิน
- หมอนอิงและผ้าห่ม
- เฟอร์นิเจอร์
- อุปกรณ์จัดเก็บและจัดระเบียบ
- โคมไฟและอุปกรณ์ส่องสว่าง
- ชุดเครื่องนอน
แฟชั่น
หมวดแฟชั่นถือเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่เติบโตต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะมีมูลค่าเกือบ 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในสิ้นปี 2025 และยังมีการคาดการณ์ว่าจะเติบโตต่อเนื่องอีก 1.3% ในปี 2026
สินค้าประเภทแฟชั่นและแอคเซสซอรีที่ได้รับความนิยมในการทำขายส่ง ได้แก่
- สินค้าสำหรับทารก
- สินค้าสำหรับเด็ก
- เสื้อผ้าสตรี
- เสื้อผ้าบุรุษ
- เสื้อผ้าแบบทางการ
- เสื้อผ้าแนวลำลอง
- ชุดออกกำลังกาย
- เสื้อผ้าทำงาน
- ผ้าพันคอ
- ผ้าและสิ่งทอ
- หมวก
- เครื่องประดับ
- รองเท้า
อาหาร
อาหารถือเป็นทั้งสิ่งจำเป็นพื้นฐานและยังสามารถเป็นสินค้าพรีเมียมได้ในเวลาเดียวกัน จึงเป็นหมวดที่มั่นคงสำหรับธุรกิจขายส่ง ความต้องการที่ต่อเนื่องของสินค้าอาหารยังช่วยให้ตลาดนี้มีเสถียรภาพอยู่เสมอ
ไอเดียสินค้าที่น่าสนใจสำหรับขายส่งในหมวดอาหาร ได้แก่
- เครื่องดื่ม
- ผลิตภัณฑ์นม
- ไอศกรีม
- น้ำมันประกอบอาหาร
- เนื้อวัว
- เนื้อหมู
- เนื้อไก่
- อาหารทะเล
- อาหารแช่แข็ง
- ผลไม้และผักสด
- ขนมขบเคี้ยว
- ของหวาน
- อาหารออร์แกนิก
- อาหารโลว์คาร์บ
- ผลิตภัณฑ์คีโต
กระเป๋าถือและกระเป๋าสะพาย
ตลาดกระเป๋าถือทั่วโลกคาดว่าจะเติบโตแตะ 71.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2033 ถือเป็นอีกหนึ่งหมวดที่เหมาะแก่การทำขายส่ง
ประเภทกระเป๋าที่น่าสนใจสำหรับขายส่ง ได้แก่
- กระเป๋าโท้ต (Totes)
- กระเป๋าคลัทช์ (Clutches)
- กระเป๋าผู้ชาย
- กระเป๋าเด็ก
- กระเป๋าสะพายข้อมือ (Wristlets)
- กระเป๋าลำลอง
- กระเป๋าเดินทาง
อุปกรณ์และของใช้ในครั
หมวดอุปกรณ์ครัวสร้างรายได้มากกว่า 16 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีทั่วโลก และคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องปีละ 1.56% จนถึงปี 2030
ไอเดียสินค้าที่เหมาะกับการทำขายส่งในหมวดครัวเรือน ได้แก่
- อุปกรณ์ครัว
- หม้อและกระทะ
- ชามและจาน
- ถาดเสิร์ฟ
- อุปกรณ์จัดเก็บและจัดระเบียบ
- ตู้และชั้นวาง
- มีด
- ผ้าและผ้าปูโต๊ะ
- โต๊ะอาหาร
- เก้าอี้
- เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัว
- แก้วน้ำและแก้วไวน์
สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี
อุตสาหกรรมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีคาดว่าจะสร้างรายได้เกือบ 9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีภายในปี 2028 ทำให้เป็นอีกหนึ่งหมวดที่น่าจับตามองสำหรับธุรกิจขายส่ง
ไอเดียสินค้าที่เหมาะกับการทำขายส่งในหมวดนี้ เช่น
- เครื่องนวด
- วิตามินและอาหารเสริม
- โลชั่นบำรุงผิว
- ครีมลดเลือนริ้วรอย
- ชุดบำรุงผิว
- อโรมาเธอราพี
- เสื้อผ้าออกกำลังกาย
- น้ำมันหอมระเหย
- เทียน/ธูป
- ผลิตภัณฑ์อาบน้ำ
- อุปกรณ์โยคะ
- อุปกรณ์ออกกำลังกาย
- ผลิตภัณฑ์ความงามออร์แกนิก
อุปกรณ์สัตว์เลี้ยง
ในประเทศไทย ตลาดสัตว์เลี้ยงมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและสม่ำเสมอ มีมูลค่ารวมประมาณ 74.8 พันล้านบาทในปี 2024 เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 12.4%
สินค้าที่ควรพิจารณาสำหรับหมวดสัตว์เลี้ยง ได้แก่
- ของเล่นสัตว์เลี้ยง
- ขนมสำหรับสัตว์เลี้ยง
- อาหารสัตว์เลี้ยง
- การดูแลสุขภาพ
- อุปกรณ์ทำความสะอาด
- การดูแล
- ชามและฟีดเดอร์
- เสื้อผ้าและเครื่องประดับ
- สายจูง ปลอกคอ และสายรัด
- กรง กรง และตู้ปลา
- เตียงและที่นอน
อุปกรณ์จัดงานปาร์ตี้
ในประเทศไทย ตลาดอุปกรณ์ปาร์ตี้และของตกแต่งงานเลี้ยงยังคงเติบโตต่อเนื่องตามพฤติกรรมผู้บริโภคที่นิยมจัดงานวันเกิด งานแต่งงาน งานขึ้นบ้านใหม่ ไปจนถึงงานเฉลิมฉลองเทศกาลต่าง ๆ ขณะเดียวกัน ไทยยังเป็นหนึ่งในฐานการผลิตลูกโป่งรายใหญ่ที่สุดในโลก โดยผู้ผลิตไทยสามารถผลิตได้กว่า 850 ล้านชิ้นต่อปี ส่งออกไปทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นทั้งศักยภาพด้านการผลิตและโอกาสในตลาดในประเทศเอง
สินค้าที่น่าสนใจสำหรับขายส่งในหมวดอุปกรณ์ปาร์ตี้
- ลูกโป่ง
- ของชำร่วยงานปาร์ตี้
- ภาชนะใช้แล้วทิ้ง
- ของตกแต่งธีมงาน
- อุปกรณ์จัดเลี้ยง
- ฉากหลังถ่ายรูป
- ของตกแต่ง
- ของตกแต่งกลางโต๊ะ
- ไฟและเทียน
- ดอกไม้
- สติกเกอร์
- ชุดอุปกรณ์งานประดิษฐ์
ธุรกิจขายส่งทำกำไรได้จริงมั้ย?
หัวใจของการทำกำไรในธุรกิจขายส่งอยู่ที่การซื้อสินค้าในปริมาณมากในราคาส่วนลด ยิ่งซื้อเยอะ ต้นทุนต่อชิ้นยิ่งถูกลง ทำให้สามารถขายต่อให้ร้านค้าปลีกในราคาที่สูงกว่า และเก็บส่วนต่างไว้เป็นกำไร
ถ้าตอนนี้คุณทำธุรกิจขายตรงถึงผู้บริโภค (D2C) อยู่แล้ว และขายสินค้าออนไลน์ การขยายเข้าสู่การขายแบบธุรกิจต่อธุรกิจ (B2B) สามารถช่วยเพิ่มกำไรได้อย่างมีนัยสำคัญ
นี่คือ 3 เหตุผลที่ควรพิจารณาเริ่มต้นเป็นซัพพลายเออร์ขายส่ง
1. เพิ่มยอดขายโดยใช้งบการตลาดน้อยลง
ในโมเดลขายส่ง การตลาดของคุณจะโฟกัสไปที่การหาพาร์ตเนอร์ร้านค้า ไม่ใช่ลูกค้ารายคน การเปลี่ยนมุมมองแบบนี้ช่วยให้ใช้งบการตลาดได้คุ้มขึ้น เพราะต้นทุนในการหาลูกค้าใหม่ต่อรายถูกลงเยอะ ต่างจากการทำแบรนด์แบบขายตรงถึงผู้บริโภค (D2C) ที่ต้องทุ่มงบมากเพื่อดึงลูกค้าแต่ละคนมา Digital marketing consultant อย่าง Shane Barker ก็พูดไว้ว่า “B2B ecommerce ทำรายได้มากกว่า B2C ecommerce เยอะ” แปลว่าการหันมาทำขายส่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านการตลาดได้จริง และเมื่อคุณขายส่ง ธุรกิจฝั่งร้านค้าก็จะเป็นคนรับภาระเรื่องหาลูกค้าแทน ทำให้คุณมีเวลาและงบไปพัฒนาธุรกิจในส่วนอื่น ๆ ได้เต็มที่
2. ใช้พลังของแบรนด์อื่นช่วยขายสินค้า
การสร้างฐานแฟนหรือกลุ่มลูกค้าที่ภักดีไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้ทั้งเวลาและทรัพยากร แต่ถ้าจับมือเป็นพาร์ตเนอร์ขายส่งกับแบรนด์ที่แข็งแรงอยู่แล้ว นี่คือทางลัดที่ช่วยได้เยอะ ไม่ว่าจะเป็นมาร์เก็ตเพลสอย่าง Faire ร้านค้าปลีกชื่อดัง บูติกออนไลน์ที่มีชื่อเสียง หรือแบรนด์อิสระที่กำลังมาแรง คุณก็ยังทำธุรกิจขายส่งได้แบบมีประสิทธิภาพ โดยที่ลูกค้าไม่จำเป็นต้องรู้จักชื่อแบรนด์ของคุณเลยด้วยซ้ำ
3. ขยายตลาดใหม่ได้แบบเสี่ยงน้อยลง
การขยายธุรกิจไปต่างประเทศหรือตลาดใหม่ ๆ มักมาพร้อมต้นทุนก้อนโต ทั้งค่าคลังสินค้า โลจิสติกส์ และการตลาดกับคนที่ยังไม่เคยได้ยินชื่อคุณ แต่ถ้าเลือกพาร์ตเนอร์กับร้านค้าที่มีเครือข่ายและซัพพลายเชนในตลาดนั้นอยู่แล้ว ก็ช่วยลดทั้งความเสี่ยงและต้นทุนตั้งต้นได้เยอะ ทำให้การก้าวไปสู่ตลาดใหม่เป็นเรื่องง่ายขึ้นและปลอดภัยกว่ามาก
📚 อ่านเพิ่มเติม: ขายส่ง vs ขายตรงถึงผู้บริโภค แตกต่างและมีจุดร่วมตรงไหนบ้าง?
เริ่มธุรกิจขายส่ง B2B กับ Shopify ได้แล้ววันนี้
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา อีคอมเมิร์ซช่วยให้แบรนด์ที่ขายตรงถึงผู้บริโภค (D2C) เปิดตัวและเติบโตได้เร็วกว่าโมเดลร้านค้าแบบดั้งเดิม และตอนนี้คลื่นใหม่ของสตาร์ทอัพสายขายส่งก็กำลังเติบโตบนโลกออนไลน์ ด้วยการปรับมุมมองใหม่ว่าการขายส่งควรทำงานอย่างไร
ธุรกิจขายส่งผ่านอีคอมเมิร์ซช่วยสร้างประสิทธิภาพที่เป็นประโยชน์ทั้งฝั่งผู้ค้าปลีกและผู้ค้าส่ง ร้านค้าปลีกได้สินค้าใหม่ไปขายโดยไม่ต้องลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา ขณะที่ผู้ค้าส่งก็ลดค่าใช้จ่ายด้านการตลาดลง และยังเข้าถึงฐานลูกค้าที่มีอยู่แล้วได้ทันที
ทำไม Shopify B2B ถึงตอบโจทย์สตาร์ทอัพขายส่งได้จริง
-
แพลตฟอร์มครบวงจร: Shopify B2B ช่วยให้คุณจัดการทั้งการชำระเงิน การตลาด ร้านค้าออนไลน์ และการดำเนินงานขายส่ง ได้จากอินเทอร์เฟซเดียว
-
ระบบเช็กเอาต์ B2B แบบเซลฟ์เซอร์วิส: ให้ผู้ซื้อเลือกสินค้าใส่ตะกร้า ใช้ลิสต์ราคา และชำระเงินแบบเครดิตเทอม (net 30) ได้ โดยไม่ต้องรอใบเสนอราคาแบบแมนนวล
-
การตั้งราคาและส่วนลดตามปริมาณอย่างยืดหยุ่น: สร้างแค็ตตาล็อกสินค้าตามลูกค้าแต่ละราย ตั้งราคาแบบตายตัวหรือเปอร์เซ็นต์ และระบบยังช่วยใช้ส่วนลดตามลำดับขั้นให้อัตโนมัติ
- ขยายธุรกิจได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่อง IT: เมื่อธุรกิจเติบโต แอปและ API ของ Shopify จะช่วยเพิ่มฟังก์ชันขั้นสูงได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องยกเครื่องระบบใหม่ทั้งหมด
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับธุรกิจขายส่ง
ข้อดีของการทำธุรกิจขายส่งมีอะไรบ้าง?
การขายส่งมีข้อดีหลายอย่าง เช่น ลดต้นทุนต่อหนึ่งลูกค้าได้เพราะซื้อจำนวนมากในราคาส่วนลด จัดการโลจิสติกส์ได้ง่ายขึ้นเพราะจัดการสินค้าเป็นล็อตใหญ่ และยังเข้าถึงฐานลูกค้าของร้านค้าปลีกได้โดยตรง ทำให้ไม่ต้องใช้งบทำแคมเปญการตลาดมากนัก
ธุรกิจแบบไหนบ้างที่ทำแบบขายส่งได้?
ธุรกิจหลายประเภทสามารถใช้โมเดลขายส่งได้ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจที่ขายสินค้าแบบไวท์เลเบลหรือไพรเวทเลเบล ผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่าย ซัพพลายเออร์ ผู้นำเข้า–ส่งออก ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น เสื้อผ้า อิเล็กทรอนิกส์ อาหาร และเวชภัณฑ์ พูดง่าย ๆ คือ อุตสาหกรรมใดที่ผลิตสินค้าในปริมาณมากได้ ก็สามารถเข้ามาอยู่ในโมเดลขายส่งได้
ความท้าทายของธุรกิจขายส่งคืออะไร?
แม้การขายส่งจะมีข้อดีหลายด้าน แต่ก็มีความท้าทายเช่นกัน เช่น การบริหารจัดการออเดอร์จำนวนมาก การควบคุมสต็อก การตั้งราคาที่แข่งขันได้ และการสร้างความสัมพันธ์ที่มั่นคงกับร้านค้าปลีก ธุรกิจขายส่งจึงต้องมีแผนกลยุทธ์ที่ดีเพื่อรับมือกับสิ่งเหล่านี้
ขายส่ง กับ ขายปลีก แตกต่างกันยังไง?
ธุรกิจขายส่งกับขายปลีกต่างกันตรงกลุ่มลูกค้าและวิธีการขาย ขายส่งขายสินค้าเป็นล็อตให้ธุรกิจอื่นในราคาที่ถูกกว่า ขณะที่ขายปลีกขายสินค้าเป็นชิ้น ๆ ให้กับผู้บริโภคในราคาที่บวกกำไรเข้าไป ขายส่งจึงเป็นเหมือนโซลูชันซัพพลายเชนที่ต้นทุนต่ำสำหรับผู้ค้าปลีก ซึ่งต่อมาก็จะนำสินค้าไปตอบโจทย์ผู้บริโภคแต่ละราย
ธุรกิจเล็ก ๆ จะเริ่มการขายส่งได้ยังไงบ้าง?
ธุรกิจขนาดเล็กสามารถเริ่มขายส่งได้โดยนำสินค้าขึ้นขายบนมาร์เก็ตเพลสขายส่ง หรือสร้างเว็บไซต์บน Shopify จากนั้นจึงติดต่อร้านค้าปลีกที่ต้องการ และนำเสนอข้อเสนอขายส่งที่น่าสนใจ
ธุรกิจขายส่งแบบไหนกำไรมากที่สุด?
ธุรกิจขายส่งที่ทำกำไรสูงมักอยู่ในตลาดใหญ่ที่มีการเติบโตและมีดีมานด์สูงอย่างต่อเนื่อง เช่น สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี (คาดว่าจะโตแตะเกือบ 9 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2028) แฟชั่น (ใกล้ 2 ล้านล้านดอลลาร์ภายในสิ้นปี 2025) และของแต่งบ้าน (ทะลุ 1 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2034) นอกจากนี้ สินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยง อาหารและเครื่องดื่ม และสื่อการเรียนการสอน ก็เป็นตลาดที่มีความต้องการสม่ำเสมอและมีการสั่งซ้ำสูง เหมาะกับการสร้างรายได้ระยะยาว
วิธีเริ่มต้นเป็นผู้ค้าส่ง ต้องทำยังไง
เริ่มจากการเลือกสินค้าหมวดที่ต้องการ แล้วหาซัพพลายเออร์หรือผู้ผลิตที่เชื่อถือได้ จดทะเบียนธุรกิจและขอใบอนุญาตที่จำเป็น จากนั้นวางกลยุทธ์การตั้งราคา ทั้งกำไรขั้นต้น ราคาขายปลีกที่แนะนำ (MSRP) และจำนวนขั้นต่ำต่อออเดอร์ (MOQ) ต่อไปสร้างร้านค้าออนไลน์โดยใช้ฟีเจอร์ B2B ของ Shopify ลงขายในมาร์เก็ตเพลสอย่าง Faire หรือ Alibaba และทำการตลาดไปยังผู้ค้าปลีก ผ่านเว็บไซต์ งานแฟร์ หรือพาร์ตเนอร์แบรนด์ต่าง ๆ
ต้องใช้เงินเท่าไหร่ในการเริ่มธุรกิจขายส่ง?
จริง ๆ แล้วไม่จำเป็นต้องมีงบก้อนโต เพราะปัจจุบันแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอย่าง Shopify ทำให้การเปิดร้านออนไลน์ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นต่ำมาก ต้นทุนที่ใช้จะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับคุณผลิตสินค้าเองหรือซื้อมาจากซัพพลายเออร์ ถ้าอยากลดค่าใช้จ่าย ลองเริ่มจากสินค้าชิ้นเล็ก น้ำหนักเบา มีกำไรสูง และหาซัพพลายเออร์ที่ยืดหยุ่น ปัจจุบันหลายมาร์เก็ตเพลสก็รองรับการสั่งขั้นต่ำ (MOQ) ที่ต่ำ ทำให้คุณสามารถทดสอบตลาดได้โดยไม่ต้องลงทุนสูงตั้งแต่แรก


