เมื่อธุรกิจอีคอมเมิร์ซเติบโตอย่างรวดเร็ว ตลาด 3PL (third-party logistics) ก็ขยายตัวตามไปด้วย โดยคาดว่ามีมูลค่าสูงถึง 1.59 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2028
ไม่ว่าคุณจะอยู่ในอุตสาหกรรมใด บริการของ 3PL ก็เป็นที่ต้องการสูงในโลกอีคอมเมิร์ซ เพราะผู้ให้บริการเหล่านี้คือผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดส่งและการจัดการออเดอร์ ที่ช่วยเก็บสินค้าในคลังของตนเอง พร้อมจัดการกระบวนการหยิบสินค้า แพ็ก และจัดส่งให้ถึงมือลูกค้าอย่างครบวงจร
หากคุณกำลังจะเริ่มทำงานร่วมกับ 3PL เป็นครั้งแรก หรือกำลังพิจารณาใช้ผู้ให้บริการหลายรายเพื่อกระจายความเสี่ยง นี่คือสิ่งสำคัญที่ควรรู้ก่อนเลือกพาร์ตเนอร์ที่เหมาะกับธุรกิจของคุณ
3PL คืออะไร?
3PL คือบริการที่ธุรกิจว่าจ้างบุคคลภายนอกมาช่วยดูแลงานด้านโลจิสติกส์ ตั้งแต่การเก็บสินค้า การขนส่ง ไปจนถึงการส่งถึงปลายทาง ผู้ให้บริการ 3PL มีความเชี่ยวชาญในการบริหารคลังสินค้าและเครือข่ายขนส่งทั่วโลก ซึ่งช่วยให้ธุรกิจสามารถโฟกัสกับสิ่งที่ทำได้ดีที่สุด เช่น การตลาดและการพัฒนาผลิตภัณฑ์
โดยทั่วไป 3PL จะช่วยจัดการงานหลัก ๆ ดังนี้
- เก็บรักษาสินค้าในจุดยุทธศาสตร์เพื่อให้ส่งได้รวดเร็ว
- ติดตามสต็อกและตำแหน่งสินค้าแบบเรียลไทม์
- หยิบ แพ็ก และจัดส่งออเดอร์ให้ลูกค้า
- ประสานการขนส่งทางรถ เครื่องบิน และเรือ
- ให้บริการซอฟต์แวร์ติดตามคำสั่งซื้อและระบบจัดการคลังสินค้า
โลจิสติกส์ภายนอก (3PL) คือการจ้างงานฟังก์ชันโลจิสติกส์และการจัดการซัพพลายเชนให้กับผู้ให้บริการภายนอก
บริษัทต่าง ๆ มักเลือกทำงานร่วมกับผู้ให้บริการ 3PL เพื่อช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน แทนที่จะต้องลงทุนสร้างคลังสินค้าและจัดการกระบวนการกระจายสินค้าด้วยตัวเอง ธุรกิจสามารถเก็บสินค้ากับคลังของผู้ให้บริการ 3PL ได้โดยตรง ซึ่งสินค้าจะถูกส่งจากผู้ผลิตเข้าสู่ระบบของ 3PL ทันที
3PL มีวิธีการทำงานอย่างไร
ขั้นตอนการทำงานของ 3PL อาจแตกต่างกันไปตามข้อตกลงและบริการที่เลือกใช้ แต่โดยทั่วไปจะมีลำดับ ดังนี้
- 3PL รับสินค้าของคุณเข้าสู่คลังและจัดเรียงตามรหัสสินค้า
- เมื่อมีคำสั่งซื้อผ่านเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ ข้อมูลออเดอร์จะถูกส่งต่อมายังระบบของ 3PL ทั้งแบบอัตโนมัติหรือด้วยตนเอง (หากมีการเชื่อมระบบซอฟต์แวร์ระหว่างกัน)
- ทีมงานในคลังจะได้รับรายการสินค้าที่ต้องหยิบ เพื่อเตรียมสินค้า
- สินค้าจะถูกบรรจุลงกล่อง พร้อมใบเสร็จและรายละเอียดคำสั่งซื้อ
- 3PL พิมพ์ใบปะหน้าสำหรับจัดส่ง หรือใช้บริการจากพาร์ตเนอร์ขนส่งที่ร่วมงานกัน
- บริษัทขนส่งเข้ารับพัสดุจากศูนย์กระจายสินค้าของ 3PL แล้วจัดส่งถึงมือลูกค้า
- ข้อมูลการติดตามจะถูกอัปโหลดเข้าสู่ระบบของ 3PL และซิงก์เข้ากับซอฟต์แวร์จัดการออเดอร์ของคุณโดยอัตโนมัติ
แม้ว่า 3PL จะเป็นโซลูชันแบบครบวงจร แต่จริง ๆ แล้วเป็นเพียงหนึ่งในหลายประเภทของผู้ให้บริการโลจิสติกส์ เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น มาดูความแตกต่างระหว่างโมเดลต่าง ๆ กัน
- Dropshipping: วิธีจัดส่งสินค้าปลีกที่ร้านค้าไม่ได้เก็บสต็อกเอง เมื่อลูกค้าสั่งซื้อ ร้านค้าจะสั่งสินค้าจากผู้ผลิตหรือซัพพลายเออร์ให้ส่งตรงถึงลูกค้า
- 2PL: ผู้ให้บริการขนส่ง (เช่นบริษัทขนส่งพัสดุ) เข้ารับสินค้าโดยตรงจากคลังของคุณแล้วจัดส่งให้ลูกค้า
- 3PL: บริษัทภายนอกช่วยเก็บสินค้า หยิบ แพ็ก และจัดส่งให้ครบวงจร
- 4PL: ผู้จัดการโลจิสติกส์ระดับสูงที่ดูแลและบริหารความสัมพันธ์กับผู้ให้บริการ 3PL หลายราย รวมถึงการเจรจาสัญญาและแก้ไขปัญหาแทนธุรกิจ
- Freight brokers: ตัวกลางระหว่างแบรนด์และคนขับรถขนส่ง ช่วยจับคู่ธุรกิจกับผู้ให้บริการขนส่งที่เหมาะสม แตกต่างจาก 3PL ที่เน้นให้บริการจัดการโลจิสติกส์โดยตรง
ภาพแสดงความแตกต่างระหว่างบริการการเติมเต็มและโลจิสติกส์ต่างๆ
ทำไมหลายธุรกิจถึงเลือกใช้บริการ 3PL
บริษัทจำนวนมากเริ่มหันมาใช้บริการ 3PL เมื่อยอดคำสั่งซื้อเติบโตจนจัดการเองไม่ไหว 3PL ไม่ได้มีไว้สำหรับแบรนด์ขนาดใหญ่เท่านั้น แต่ถูกออกแบบมาเพื่อช่วย ผู้ค้าทุกขนาด ที่ต้องการขยายธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ
ลองนึกภาพว่าธุรกิจของคุณจัดโปรโมชั่นแฟลชเซลล์ หรือสินค้าตัวหนึ่งกลายเป็นไวรัลยอดขายพุ่ง การจัดการออเดอร์ด้วยทีมภายในอาจไม่ทันหรือไม่คุ้มต้นทุนในสถานการณ์แบบนี้ และหากไม่สามารถจัดส่งได้ตามที่สัญญาไว้กับลูกค้า ก็อาจส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของแบรนด์ได้โดยตรง โดยเฉพาะในยุคที่ 62% ของลูกค้าคาดหวังจะได้รับพัสดุภายในไม่เกิน 3 วัน
เมื่อไหร่ควรจ้าง 3PL มาช่วยจัดการโลจิสติกส์และจัดส่งสินค้า
หากคุณไม่แน่ใจว่าธุรกิจถึงเวลาควรใช้บริการ 3PL แล้วหรือยัง ลองตอบคำถามหลัก 4 ข้อนี้ คำตอบจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
1. ตอนนี้คุณต้องจัดส่งมากกว่า 10–20 ออเดอร์ต่อวันหรือไม่?
ถ้าใช่ นั่นอาจเป็นสัญญาณว่าควรเริ่มพิจารณาใช้บริการ 3PL เพื่อรักษากำไรและประสิทธิภาพการทำงาน การให้ผู้เชี่ยวชาญภายนอกช่วยจัดการขั้นตอน แพ็กสินค้า หยิบของ และจัดส่ง จะช่วยประหยัดเวลาแรงงาน และยิ่งคุ้มค่ายิ่งขึ้นหากเลือก 3PL ที่ใช้ระบบอัตโนมัติ
นอกจากนี้ ลองคำนวณดูว่าการจ้าง 3PL จะเปิดโอกาสให้ธุรกิจเติบโตได้แค่ไหน เช่น การขยายตลาดใหม่ ๆ ที่คุณยังไม่มีเวลาทำด้วยตนเอง
2. พื้นที่เก็บสินค้าเริ่มไม่พอแล้วหรือยัง?
เจ้าของร้านจำนวนมากมักลืมนับรวม “ต้นทุนค่าพื้นที่จัดเก็บสินค้า” เข้ากับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการจัดส่ง
เมื่อตัดสินใจว่าจะใช้ 3PL ดีหรือไม่ ให้ลองเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายคลังสินค้าปัจจุบันของคุณกับราคาโดยประมาณจากผู้ให้บริการ 3PL บางครั้งการรวมค่าจัดเก็บเข้ากับบริการ fulfillment ภายนอก อาจคุ้มค่ากว่าการบริหารเอง
3. โครงสร้างปัจจุบันรองรับออเดอร์ที่อาจพุ่งสูงได้มั้ย?
ถ้ายอดออเดอร์เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่ช่วงโปรหรือแคมเปญเดียว การเพิ่มกำลังคนหรือระบบอัตโนมัติเองอาจใช้เวลาและต้นทุนสูง การใช้บริการ 3PL อาจเป็นทางเลือกที่คุ้มกว่า เพราะคุณไม่ต้องลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มเอง
4. อยากให้ลูกค้าได้รับสินค้ารวดเร็วขึ้นมั้ย?
ถ้าธุรกิจของคุณอยากให้บริการ จัดส่งภายในวันถัดไป หรือภายใน 2 วัน แต่ยังทำไม่ได้ด้วยระบบปัจจุบัน การใช้ 3PL คือคำตอบ
ผู้ให้บริการ 3PL มักทำงานกับลูกค้าหลายราย ทำให้สามารถเจรจาค่าขนส่งกับบริษัทขนส่งได้ในราคาที่ดีกว่า ต้นทุนที่ประหยัดนี้จะถูกส่งต่อมายังธุรกิจของคุณ ช่วยให้คุณเสนอค่าขนส่งที่ถูกลงและส่งสินค้าได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ 3PL ยังสามารถช่วยคุณวางกลยุทธ์ด้านการขนส่ง เช่น zone skipping หรือ multi-carrier shipping เพื่อเพิ่มความเร็วและลดค่าใช้จ่ายได้พร้อมกัน
เมื่อเปรียบเทียบผู้ให้บริการ 3PL แต่ละราย อย่าลืมสอบถามเรื่องความเร็วในการจัดส่งเฉลี่ย, ตำแหน่งศูนย์กระจายสินค้าที่มีอยู่ และประวัติการส่งสินค้าตรงเวลาและความพึงพอใจของลูกค้า
ข้อดีและข้อเสียของการใช้บริการ 3PL
ข้อดีของ 3PLs
- ทดสอบและขยายตลาดใหม่ได้ง่ายขึ้น
- ปลดล็อกเงินทุนที่จมอยู่กับค่าคลังสินค้า
- ลดต้นทุนการดำเนินงานและค่าใช้จ่ายคงที่
- ลดความเสี่ยงจากปัญหาซัพพลายเชนและความล่าช้าในการจัดส่ง
ทดสอบและขยายตลาดใหม่ได้ง่ายขึ้น
การขยายตลาดไปต่างประเทศจำเป็นต้องมีเครือข่าย Fulfillment ระดับโลก ระบบเอกสาร และการจัดการบัญชีที่เกี่ยวข้องกับลูกค้าและภาษี หากคุณต้องการเริ่มขายสินค้าในต่างประเทศแต่ยังไม่พร้อมรับมือกับข้อกฎหมายที่ซับซ้อน หรือยังไม่อยากลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในต่างแดน การใช้บริการ 3PL คือทางเลือกที่ดีในการเริ่มต้นทดสอบตลาด
ตัวอย่างเช่น หากคุณเป็นผู้ค้าจากสหรัฐฯ ที่ต้องการทดสอบตลาดในสหราชอาณาจักร คุณสามารถเก็บสินค้าบางส่วนไว้ในคลังของผู้ให้บริการ 3PL ในพื้นที่นั้นได้ทันที วิธีนี้ช่วยลดความยุ่งยากในการเรียนรู้กฎหมายแรงงานและอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ ก่อนที่จะตัดสินใจว่าตลาดนั้นคุ้มค่าต่อการลงทุนหรือไม่
การมอบหมายงานเหล่านี้ให้ผู้เชี่ยวชาญช่วยดูแล ยังช่วยให้จัดส่งสินค้าได้เร็วขึ้น เพิ่มความพึงพอใจให้ลูกค้า และลดต้นทุนค่าขนส่ง ซึ่งทั้งหมดนี้จะส่งผลดีโดยตรงต่อผลกำไรของธุรกิจ
ปลดล็อกเงินทุนที่จมอยู่กับค่าคลังสินค้า
หากคุณลงทุนสร้างหรือเช่าคลังสินค้าและศูนย์กระจายสินค้าด้วยตัวเอง ค่าใช้จ่ายส่วนนี้คงไม่ลดลงในเร็ว ๆ นี้ ปัจจุบัน (ข้อมูลปี 2024) อัตราคลังว่างในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเป็น 5.2% ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ช่วงโควิดที่ตัวเลขเกิน 5% แม้อุปสงค์เริ่มชะลอลง แต่ค่าเช่ายังคงสูง โดยเฉพาะในภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น รัฐนิวเจอร์ซีย์ ที่มีค่าเช่าเฉลี่ยมากกว่า 10.86 ดอลลาร์ต่อตารางฟุต
ในทางกลับกัน ผู้ให้บริการ 3PL มีพื้นที่คลังสินค้าที่มั่นคงและฐานลูกค้าจำนวนมาก ทำให้สามารถรักษาพื้นที่จัดเก็บได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเมื่อคุณเลิกเช่าคลังเอง เงินทุนที่เคยจมอยู่กับค่าเช่าสามารถนำไปใช้ลงทุนในกิจกรรมที่สร้างผลตอบแทนได้มากกว่า
ลดต้นทุนการดำเนินงานและค่าใช้จ่ายคงที่
การใช้บริการ 3PL ช่วยให้คุณได้ทีมงานคลังสินค้ามืออาชีพและเทคโนโลยีระบบอัตโนมัติ โดยไม่ต้องลงทุนเอง เช่น เครื่องจักรหุ่นยนต์ที่ช่วยหยิบและแพ็กสินค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้ร้านค้าสามารถรับออเดอร์ได้ถึงช่วงดึกและส่งทันในวันถัดไป ตัวอย่างเช่น Ocado Retail ที่ได้ปรับระบบคลังทั้งหมดให้ทำงานอัตโนมัติเต็มรูปแบบ
อีกจุดหนึ่งที่ช่วยประหยัดต้นทุนคือค่าขนส่ง เพราะ 3PL มักเจรจาอัตราพิเศษกับบริษัทขนส่งได้ดีกว่า การรวมปริมาณการจัดส่งจากหลายธุรกิจเข้าด้วยกันช่วยให้ต้นทุนต่อชิ้นถูกลง และคุณสามารถส่งต่อความคุ้มค่านี้ให้ลูกค้าในรูปแบบ “จัดส่งฟรี” ได้อีกด้วย
ลดความเสี่ยงจากปัญหาซัพพลายเชนและความล่าช้าในการจัดส่ง
ผู้ให้บริการ 3PL มักมีเครือข่ายศูนย์กระจายสินค้าทั่วโลกและสัญญากับบริษัทขนส่งหลายเจ้า ทำให้สามารถรับมือกับความล่าช้าในการขนส่งระหว่างประเทศได้ดีกว่า แม้อาจไม่สามารถหลีกเลี่ยงค่าขนส่งพิเศษได้ทั้งหมด แต่ช่วยกระจายความเสี่ยงและลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นได้
นอกจากนี้ 3PL หลายรายยังเริ่มลงทุนในยานพาหนะจัดส่งของตนเอง เพื่อรองรับการจัดส่งระยะสั้นและเพิ่มรอบการส่งสินค้า ช่วยลดความแออัดในระบบโลจิสติกส์โดยรวม ตัวอย่างเช่นแบรนด์ Manly Bands ผู้จำหน่ายแหวนแต่งงานสำหรับผู้ชาย ได้ร่วมมือกับผู้ให้บริการ 3PL เพื่อแก้ปัญหาความล่าช้าในการจัดส่ง
Eric Farlow ประธานฝ่ายปฏิบัติการของแบรนด์กล่าวว่า “เมื่อเราเริ่มทำงานกับผู้ให้บริการ 3PL เราพบว่าสามารถควบคุมการจัดส่งได้มากขึ้น และรักษาคำมั่นสัญญากับลูกค้าได้ดีกว่าเดิม”
ข้อเสียของ 3PL
ต้นทุนเริ่มต้นสูง
การเริ่มทำงานกับผู้ให้บริการ 3PL มักมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นจำนวนมาก เช่น การเชื่อมระบบซอฟต์แวร์ของ 3PL เข้ากับร้านอีคอมเมิร์ซของคุณ การอัปโหลดข้อมูลสินค้า (SKU) และการตั้งค่าบัญชีผู้ใช้งาน โดยทั่วไปค่าใช้จ่ายเหล่านี้สามารถแบ่งออกได้ดังนี้:
- ค่าขนส่ง: ค่าจัดส่งสินค้าจากโรงงานไปยังคลังสินค้าในประเทศหรือต่างประเทศ
- ค่ารับสินค้า: ค่าขนถ่ายสินค้าจากผู้ให้บริการขนส่งเข้าสู่คลังของ 3PL
- ค่าคลังสินค้า: ค่าบริการรายเดือนตามพื้นที่ที่ใช้ มักคิดเป็นจำนวนพาเลท
- ค่าหยิบและแพ็กสินค้า: ค่าหยิบสินค้าออกจากชั้นและบรรจุเพื่อจัดส่ง โดยมักมีส่วนลดเมื่อปริมาณออเดอร์สูง
- ค่าขนส่งถึงลูกค้า: ค่าจัดส่งสินค้าถึงปลายทางของลูกค้า
- ค่าตั้งค่าระบบบัญชี: ค่าบริการเปิดบัญชีและเชื่อมต่อซอฟต์แวร์กับร้านค้าออนไลน์
- ยอดใช้จ่ายขั้นต่ำ: โดยทั่วไปผู้ให้บริการ 3PL จะกำหนดวงเงินใช้จ่ายขั้นต่ำต่อเดือน
ชั่วโมงการทำงานและกระบวนการที่ไม่ยืดหยุ่น
ในยุคที่ลูกค้าคาดหวังการจัดส่งแบบรวดเร็วและฟรี เจ้าของร้านหลายคนอาจรู้สึกอยากเข้าไปช่วยแพ็กออเดอร์เองเมื่อมีคำสั่งซื้อค้างจำนวนมาก เพื่อให้สินค้าส่งออกได้เร็วที่สุด แต่หากคุณใช้บริการ 3PL สิ่งนี้จะทำไม่ได้ เนื่องจากผู้ให้บริการมี เวลาทำงานและกระบวนการภายในของตนเอง ซึ่งไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามแต่ละร้านค้า ส่งผลให้การจัดส่งอาจล่าช้าในบางช่วง และกระทบต่อความยืดหยุ่นในการบริหารธุรกิจของคุณ
ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ 3PL
มีความเข้าใจผิดอยู่มากมายเกี่ยวกับการทำงานร่วมกับผู้ให้บริการ 3PL มาดูกันว่าความเชื่อที่พบบ่อยที่สุด 3 ข้อคืออะไร และความจริงคืออย่างไร
“พอส่งงานให้ 3PL แล้วจะควบคุมอะไรไม่ได้เลย”
แม้ว่าสินค้าที่เก็บอยู่ในคลังของ 3PL จะไม่สามารถเข้าถึงได้ทันที ซึ่งอาจทำให้รู้สึกไม่มั่นใจในช่วงแรก แต่จริง ๆ แล้วการใช้บริการ 3PL กลับช่วยให้คุณควบคุมธุรกิจได้ดีขึ้น เพราะเมื่อไม่ต้องจัดการงานจัดส่งและออเดอร์เอง ความผิดพลาดก็จะลดลง อีกทั้งผู้ให้บริการ 3PL ที่มีมาตรฐานจะมีรายงานและข้อมูลเชิงวิเคราะห์ให้คุณดูได้แบบเรียลไทม์ ช่วยให้บริหารได้จากระยะไกลและตัดสินใจทางธุรกิจได้แม่นยำขึ้น
“3PL เหมาะเฉพาะกับธุรกิจใหญ่เท่านั้น”
ความจริงไม่ใช่เลย หากคุณมีแผนจะขยายหรือโตต่อในอนาคต 3PL คือทางเลือกที่เหมาะมาก อย่าคิดว่าค่าบริการคลังสินค้าและกระจายสินค้าภายนอกจะเกินงบ เพราะในหลายกรณี 3PL กลับช่วยลดต้นทุนและปลดล็อกเงินทุนหมุนเวียนได้จริง
“3PL มีค่าธรรมเนียมแอบแฝงเยอะ”
ค่าบริการของ 3PL อาจดูซับซ้อน เพราะมีทั้งค่ารับสินค้าเข้าคลัง ค่าพื้นที่จัดเก็บ ค่าจัดส่งออก ภาษีศุลกากร รวมถึงค่าบรรจุภัณฑ์พิเศษ แต่ค่าธรรมเนียมเหล่านี้ไม่ได้เป็น “ค่าซ่อน” อย่างที่หลายคนเข้าใจ หากคุณสอบถามรายละเอียดให้ครบก่อนเซ็นสัญญา ข้อมูลทั้งหมดจะถูกระบุไว้อย่างชัดเจนตั้งแต่ต้น
ประเภทของบริษัท 3PL
บริษัท 3PL มีหลายประเภท ซึ่งแต่ละแบบจะให้บริการแตกต่างกันไปตามความต้องการของธุรกิจ เช่น การจัดเก็บ การขนส่ง หรือการจัดการออเดอร์ โดยทั่วไป 3PL สามารถแบ่งออกได้ดังนี้
ผู้ให้บริการแบบครบวงจร
ถ้าธุรกิจของคุณมีคลังสินค้าหลายแห่ง หรือขายข้ามประเทศ การจัดการด้านโลจิสติกส์จะซับซ้อนมากขึ้น โดยเฉพาะหลังจากที่เกิดวิกฤตซัพพลายเชน ซึ่งทำให้เห็นชัดเจนว่าการมีระบบติดตามสต็อกแบบเรียลไทม์ในหลายพื้นที่เป็นสิ่งจำเป็น
การรู้จำนวนและตำแหน่งของสินค้าคงคลังเป็นหัวใจสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน รวมถึงการจัดส่งสินค้าจากคลังที่ใกล้ลูกค้าที่สุด ซึ่งช่วยลดต้นทุนค่าขนส่งได้มาก ผู้ให้บริการ 3PL แบบครบวงจรจึงกลายเป็นตัวช่วยหลักให้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่ขายข้ามประเทศทำงานได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทั้งในช่วงวิกฤตและหลังจากนั้น
ผู้ให้บริการโลจิสติกส์แบบครบวงจร เช่น Shopify Fulfillment Network มอบโซลูชันตั้งแต่ต้นจนจบ ช่วยให้การจัดส่งถึงมือลูกค้าเป็นเรื่องง่ายและรวดเร็ว ด้วยเครือข่ายศูนย์กระจายสินค้าทั่วประเทศที่ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ 3PL แบบครบวงจรอย่าง Shopify จึงมั่นใจได้ว่าสินค้าถูกเก็บไว้ในทำเลที่เหมาะสม ทำให้จัดส่งได้เร็วและประหยัดกว่า
นอกจากการจัดส่งที่รวดเร็วและคุ้มค่ามากขึ้นแล้ว 3PL แบบครบวงจรยังมีข้อดีเพิ่มเติม เช่น
- ระบบบริหารสต็อกอัจฉริยะ (Inventory intelligence): Shopify จะช่วยแนะนำตำแหน่งคลังที่เหมาะสม เพื่อให้สินค้าของคุณอยู่ใกล้ลูกค้าที่สุด
- ควบคุมประสบการณ์การจัดส่งได้เอง: เลือกความเร็วในการจัดส่ง เพิ่มลูกเล่นทางการตลาดด้วยการแนบการ์ดหรือของแถมในพัสดุ รวมถึงสามารถใช้บรรจุภัณฑ์แบรนด์ของคุณเองได้
- เชื่อมต่อระบบได้ง่าย: ไม่ต้องตั้งค่าทางเทคนิคยุ่งยาก Shopify จะช่วยติดตั้งแอป Shopify Fulfillment ให้พร้อมใช้งาน 3PL ส่วนใหญ่ก็มีระบบเชื่อมต่อและดูแลต่อเนื่องเช่นกัน
- จัดส่งภายในวันเดียว (Same-day fulfillment): ออเดอร์ที่เข้ามาภายในเวลา 16.00 น. (ET) จะถูกจัดส่งออกในวันเดียวกัน
บริการจัดส่งระดับโลกที่เคยเป็นสิทธิพิเศษของแบรนด์ยักษ์ใหญ่ ตอนนี้กลายเป็นสิ่งที่แบรนด์ขนาดกลางหรือแบรนด์ที่มียอดขายสูงสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้นและคุ้มค่ากว่าเดิม ด้วยบริการจาก Shopify Fulfillment Network (SFN)
คลังสินค้า 3PL
คลังสินค้าที่ให้บริการจัดเก็บ จัดส่ง และรับคืนสินค้า เป็นประเภทของ 3PL ที่พบได้บ่อยที่สุด โดยหลายแห่งมีตัวเลือกจัดส่งรวดเร็วภายใน 2 วัน และหากธุรกิจของคุณกำลังขยายสู่ตลาดต่างประเทศ คลังสินค้าระดับนานาชาติจะช่วยให้คุณสร้างระบบซัพพลายเชนทั่วโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ การจัดการขั้นตอนการจัดส่งสินค้าอย่างมีระบบคือทักษะที่มาพร้อมประสบการณ์ ซึ่งผู้ค้าปลีกสามารถเรียนรู้ได้จากการทำงานร่วมกับคลังสินค้า 3PL
เมื่อเลือกใช้คลังสินค้า 3PL สิ่งสำคัญคือการพิจารณาว่าคุณจะสามารถเข้าถึงศูนย์กระจายสินค้าได้กี่แห่ง หากคุณให้คำมั่นว่าจะจัดส่งแบบรวดเร็ว คุณจะต้องมีเครือข่ายคลังสินค้าที่กว้างเพียงพอ เพื่อให้จัดส่งจากพื้นที่ที่ใกล้ลูกค้าที่สุดได้ ความเร็วในการจัดส่งขึ้นอยู่กับตำแหน่งคลังสินค้าและระยะทางถึงลูกค้าโดยตรง อีกทั้งคุณยังต้องคาดการณ์ปริมาณสินค้าคงคลังอย่างแม่นยำ เพื่อเติมสต็อกในแต่ละคลังให้เหมาะสมกับความต้องการ
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญคือเวลาตัดรอบของสต๊อกในการจัดส่งออเดอร์ในแต่ละวัน ตัวอย่างเช่น หากคลังหยุดดำเนินการเวลา 15.00 น. ออเดอร์ที่เข้ามาหลังเวลานั้นจะถูกจัดส่งในวันถัดไป ซึ่งส่งผลต่อระยะเวลาการจัดส่งที่ลูกค้าเห็นในหน้าร้านและความคาดหวังที่พวกเขามีต่อแบรนด์ เพราะแม้เพียงการจัดส่งล่าช้าไปหนึ่งวัน ก็อาจทำให้คุณสูญเสียลูกค้าได้
3PL ประเภทขนส่ง
3PL ประเภทนี้ทำหน้าที่ขนส่งสินค้าไปมาระหว่างสถานที่ต่าง ๆ เช่น ขนส่งสินค้าจากโรงงานไปยังคลังสินค้า หรือโอนสินค้าระหว่างร้านค้ากับผู้ค้าปลีกอื่น ๆ
3PL ด้านขนส่งแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่
1. ผู้ให้บริการขนส่งแบบดั้งเดิม เช่น DHL, FedEx, UPS และ USPS ซึ่งเชี่ยวชาญด้านการจัดส่งพัสดุทั่วไป
2. บริการจัดส่งภายในวันเดียว โดยผู้ให้บริการขนส่งท้องถิ่น เช่น Postmates และ UberRush ที่เน้นความรวดเร็วและการจัดส่งระยะสั้นในพื้นที่เมือง
3. มาร์เก็ตเพลสด้านขนส่ง เช่น Flexport, Freightos และ GrandJunction ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มเชื่อมต่อระหว่างผู้ส่งสินค้าและผู้ให้บริการขนส่ง เพื่อหาข้อเสนอที่ดีที่สุดทั้งราคาและเส้นทาง
เมื่อเลือกใช้บริการขนส่งของ 3PL ควรอธิบายให้ชัดเจนถึงจุดเริ่มต้นและปลายทางของการขนส่ง รวมถึงระยะเวลาที่คาดหวังว่าสินค้าจะเคลื่อนย้ายได้เสร็จสิ้น นอกจากนี้ ควรถามรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการจัดส่ง ประเภทของบริการ ระดับคุณภาพ และส่วนลดที่จะได้รับเมื่อปริมาณสินค้าส่งเพิ่มขึ้น
สำหรับการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าผู้ให้บริการรวมค่าธรรมเนียมนายหน้าศุลกากร ภาษีนำเข้า หรือค่าธรรมเนียมอื่น ๆ ไว้ในราคาค่าขนส่งแล้วหรือไม่ เพื่อป้องกันค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่อาจเกิดขึ้นภายหลัง
3PL ด้านการเงินและข้อมูล
หลังจากการระบาดของโควิด-19 ผู้ค้าปลีกจำนวนมากหันมาให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ต้นทุนต่อหน่วยมากขึ้น โมเดลนี้ต้องอาศัยข้อมูลเชิงลึกจากกระบวนการจัดการสต๊อกสินค้า เช่น ขั้นตอนการหยิบและแพ็กสินค้า เพื่อคำนวณต้นทุนจริงของสินค้าแต่ละชิ้นอย่างแม่นยำ
ผู้ค้าปลีกจำเป็นต้องเข้าถึงข้อมูลทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับการจัดส่งและการดำเนินงานได้แบบเรียลไทม์ เพราะนั่นคือวิธีเดียวที่จะช่วยให้สามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วและถูกต้อง ทั้งในช่วงวิกฤตและหลังจากนั้น
เมื่อธุรกิจเติบโตจนมีรายได้ระดับ 8 ถึง 9 หลักขึ้นไป อาจถึงเวลาที่ควรพิจารณาใช้บริการจากบริษัท 3PL ด้านการเงินหรือข้อมูลโดยเฉพาะ บริษัทที่ปรึกษาอย่าง Chicago Consulting และ St. Onge มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านอุตสาหกรรม ช่วยลดความซับซ้อนในการบริหารซัพพลายเชนระดับโลก และให้ระบบควบคุมภายในที่ช่วยจัดการงานสำคัญ เช่น การตรวจสอบค่าขนส่ง การบันทึกต้นทุน และการบริหารสินค้าคงคลัง เพื่อให้ธุรกิจดำเนินได้อย่างมีประสิทธิภาพและสม่ำเสมอ
ควรเลือกใช้ 3PL แบบมีทรัพย์สิน หรือไม่มีทรัพย์สินดี?
การเลือกใช้บริการระหว่าง 3PL ที่มีทรัพย์สินของตัวเอง (Asset-based) กับแบบที่ไม่มีทรัพย์สิน (Non-asset-based) ถือเป็นการตัดสินใจสำคัญสำหรับหลายแบรนด์ มาดูกันว่าทั้งสองแบบแตกต่างกันอย่างไร และแบบไหนเหมาะกับธุรกิจของคุณมากที่สุด
3PL แบบ Asset-based คือผู้ให้บริการที่มีทรัพย์สินเป็นของตัวเอง เช่น คลังสินค้า รถบรรทุก หรืออุปกรณ์ด้านโลจิสติกส์ทั้งหมดอยู่ในระบบของบริษัท เหมือนกับการมีทุกอย่างพร้อมในองค์กรเดียว
3PL แบบ Non-asset-based จะไม่มีทรัพย์สินทางกายภาพเป็นของตัวเอง แต่จะทำหน้าที่เป็นตัวกลางที่ประสานงานกับบริษัทอื่น ๆ เพื่อใช้คลังสินค้า รถขนส่ง หรือทรัพยากรโลจิสติกส์ของพันธมิตรแทน
ต่อไปมาดูวิธีเลือกให้เหมาะกับธุรกิจของคุณพร้อมๆ กัน
ต้นทุน
3PL แบบ Asset-based อาจมีต้นทุนสูงกว่า เพราะต้องลงทุนในอุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกของตัวเอง แต่ก็มีแนวโน้มที่จะเสนอราคาที่คงที่และเสถียรกว่า ในทางกลับกัน 3PL แบบไม่ถือครองทรัพย์สิน (Non-asset-based) มักมีราคาถูกกว่า แต่ราคาสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามต้นทุนจากพันธมิตรที่พวกเขาร่วมงานด้วย
การควบคุม
3PL แบบ Asset-based มีอำนาจควบคุมการดำเนินงานมากกว่า ส่งผลให้คุณภาพและมาตรฐานบริการมีความสม่ำเสมอ ส่วน 3PL แบบไม่ถือครองทรัพย์สินต้องพึ่งพาพันธมิตรภายนอก ซึ่งอาจทำให้ควบคุมได้น้อยลง แต่ได้ความยืดหยุ่นมากกว่า
การขยาย
3PL แบบไม่ถือครองทรัพย์สินสามารถขยายการให้บริการได้รวดเร็วกว่า ด้วยการใช้เครือข่ายพันธมิตรที่กว้างขวาง ขณะที่ 3PL แบบ Asset-based มักมีข้อจำกัดจากจำนวนทรัพย์สินทางกายภาพที่มีอยู่
ความเชี่ยวชาญ
3PL แบบ Asset-based มักมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน หรือเฉพาะภูมิภาคที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกของตัวเอง ส่วน 3PL แบบไม่ถือครองทรัพย์สินมักมีบริการที่หลากหลายกว่า ครอบคลุมหลายอุตสาหกรรมและพื้นที่มากกว่า
เทคโนโลยี
3PL แบบไม่ถือครองทรัพย์สินมักให้ความสำคัญกับการใช้เทคโนโลยีและโซลูชันดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ขณะที่ 3PL แบบ Asset-based มักมุ่งเน้นไปที่การบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ
การปรับแต่งบริการ
3PL แบบ Asset-based สามารถออกแบบบริการให้ตรงตามความต้องการของลูกค้าได้มากกว่า เพราะควบคุมทรัพย์สินเอง ส่วน 3PL แบบไม่ถือครองทรัพย์สินอาจมีข้อจำกัดในการปรับแต่งบริการตามความต้องการเฉพาะ
สุดท้ายแล้ว ไม่มีคำตอบที่ตายตัวว่าประเภทใดดีกว่า การเลือกควรขึ้นอยู่กับความต้องการเฉพาะของธุรกิจและเป้าหมายของแบรนด์ การพูดคุยและเปรียบเทียบข้อเสนอจากทั้งสองประเภทของ 3PL จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างรอบคอบและเหมาะสมที่สุด
บริการที่บริษัท 3PL รองรับ
ต่อไปนี้คือบริการสำคัญที่ควรมองหาเมื่อเลือกใช้ผู้ให้บริการ 3PL
การจัดการคลังสินค้าและสินค้าคงคลัง
3PL ที่ดีควรมีบริการจัดเก็บสินค้าในคลัง รวมถึงระบบหรือซอฟต์แวร์บริหารจัดการสินค้าคงคลัง เพื่อช่วยให้คุณตรวจสอบและควบคุมสต็อกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตำแหน่งที่ตั้งของคลังสินค้าก็มีความสำคัญเช่นกัน โดยควรอยู่ใกล้พื้นที่ที่มีกลุ่มลูกค้าของคุณมากที่สุด เพื่อให้สามารถจัดส่งแบบวันเดียวหรือภายใน 2 วันได้สะดวกและประหยัดต้นทุนการขนส่ง
นอกจากนี้ ผู้ให้บริการ 3PL ที่มีคุณภาพจะสามารถย้ายสต็อกสินค้าไปยังคลังที่อยู่ใกล้กับลูกค้าตามพฤติกรรมการสั่งซื้อจริง เพื่อให้สินค้าพร้อมส่งอยู่เสมอจากคลังที่ใกล้ที่สุด ลดระยะเวลารอและเพิ่มความพึงพอใจให้ลูกค้า
การจัดการออเดอร์และการจัดส่งสินค้า
3PL ที่ดีควรมีระบบบริหารจัดการออเดอร์ (Order Management System) ที่สามารถติดตามจำนวนสต็อกจากหลายคลังได้อย่างแม่นยำ และส่งสินค้าถึงมือลูกค้าได้รวดเร็ว ระบบนี้มักเชื่อมต่อกับซอฟต์แวร์ของร้านค้าโดยตรง เพื่อให้คุณยังสามารถควบคุมขั้นตอนการจัดส่งและการจัดการออเดอร์ได้เองแบบเรียลไทม์
การประสานงานจัดส่ง
ผู้ให้บริการ 3PL บางรายมีทีมขนส่งของตนเอง ขณะที่บางรายทำงานร่วมกับผู้ให้บริการขนส่งรายใหญ่ที่มีมาตรฐาน เช่น DHL หรือ FedEx โดยส่วนใหญ่สามารถจัดส่งได้ตามคำมั่น เช่น การจัดส่งภายใน 2 วัน ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าช่วยเพิ่มอัตราการสั่งซื้อสำเร็จได้จริง
การติดตามออเดอร์
3PL จะส่งอีเมลยืนยันการสั่งซื้อให้ลูกค้า รวมถึงแจ้งสถานะการจัดส่งและการจัดส่งสำเร็จ เพื่อให้ลูกค้ารับรู้ทุกขั้นตอนอย่างโปร่งใส
การจัดการสินค้าคืนและเปลี่ยน
บริการของ 3PL ที่ครบวงจรไม่ได้หยุดแค่จัดส่งสินค้า แต่ยังครอบคลุมถึงการบริหารขั้นตอนการคืนสินค้า การเปลี่ยนสินค้า รวมถึงการดูแลลูกค้าหลังการขาย เพื่อให้ประสบการณ์ของลูกค้าดีตั้งแต่ต้นจนจบ
โลจิสติกส์ระหว่างประเทศ
หากคุณกำลังขยายธุรกิจไปต่างประเทศ ควรเลือก 3PL ที่มีคลังสินค้าหรือศูนย์กระจายสินค้าในหลายประเทศ เพราะจะช่วยลดความยุ่งยากของการขนส่งข้ามพรมแดน รวมถึงลดความซับซ้อนด้านภาษีและพิธีการศุลกากรอีกด้วย
วิธีเลือกผู้ให้บริการ 3PL ที่เหมาะกับธุรกิจ
การเลือกผู้ให้บริการโลจิสติกส์บุคคลที่สาม (3PL) ถือเป็นหนึ่งในการตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุด โดยเฉพาะเมื่อธุรกิจอีคอมเมิร์ซของคุณกำลังขยายสู่ระดับนานาชาติ เพราะคุณกำลังมอบความไว้วางใจให้ผู้ให้บริการรายนั้นดูแลแบรนด์ของคุณ และส่งมอบประสบการณ์ที่ลูกค้าคาดหวังแทนคุณ
พันธมิตรที่เหมาะสมสามารถส่งผลต่อความสำเร็จหรือความล้มเหลวของธุรกิจได้โดยตรง ทั้งในด้านโลจิสติกส์ บริการลูกค้า และอัตราการกลับมาซื้อซ้ำ เพราะการให้บุคคลภายนอกเข้าถึงข้อมูลยอดขาย สินค้าคงคลัง และข้อมูลสำคัญอื่น ๆ ถือเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังและไว้วางใจได้จริง ๆ
การเลือกพันธมิตรที่ใช่จึงเป็นเรื่องของการสร้างสมดุลระหว่าง “ข้อมูลเชิงตัวเลข” และ “ความสัมพันธ์ในระยะยาว”
จากคำแนะนำของหัวหน้าฝ่าย Merchant Success ของ Shopify Fulfillment Network (SFN) เขาได้ให้คำแนะนำที่น่าจดจำไว้ว่า “อย่าเลือก 3PL ตามขนาดธุรกิจของคุณในวันนี้ แต่ให้เลือกตามจุดที่ธุรกิจของคุณจะเติบโตไปถึงในอีก 1–3 ปีข้างหน้า”
เขายังเสริมว่า “การเปลี่ยนผู้ให้บริการ Fulfillment เป็นเรื่องที่ซับซ้อนและอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ แม้จะมีแผนเปลี่ยนผ่านที่ราบรื่นก็ตาม ทางที่ดีที่สุดคือการเลือกพันธมิตรระยะยาว และยึดตาม 1–3 ปัจจัยหลักที่ทำให้ผู้ให้บริการรายนั้นโดดเด่นกว่ารายอื่น”
“เมื่ออีคอมเมิร์ซและการจัดส่งพัฒนาไปเรื่อย ๆ การมีพันธมิตรที่ไว้วางใจได้ในระยะยาวจะช่วยให้คุณได้รับคำแนะนำที่มีคุณค่า และสามารถปรับกลยุทธ์ให้เติบโตไปพร้อมกับทิศทางของอุตสาหกรรมได้”
ดังนั้น คุณควรเลือก 3PL ที่ไม่ได้มองแค่การร่วมงานระยะสั้น แต่พร้อมจะเป็นพันธมิตรทางธุรกิจในระยะยาว ที่สามารถให้คำปรึกษาเรื่องการเพิ่มยอดขาย การลดต้นทุน และการปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบซัพพลายเชนให้ดียิ่งขึ้น
ประเมินการดำเนินงานด้านโลจิสติกส์ของผู้ให้บริการ 3PL
ข้อดีของการใช้บริการ 3PL คือคุณสามารถพึ่งพาระบบที่มีอยู่แล้วของพันธมิตรในด้านการจัดเก็บสินค้า แพ็กสินค้า หยิบสินค้า และจัดส่งออเดอร์ได้ทันที สิ่งสำคัญคือการประเมินว่ากระบวนการเหล่านี้มีประสิทธิภาพแค่ไหน และผู้ให้บริการมีศักยภาพเพียงพอที่จะรองรับปริมาณสินค้าที่เพิ่มขึ้นเมื่อธุรกิจของคุณขยายหรือไม่
คำถามประเมินประสิทธิภาพ ได้แก่
- มีคลังสินค้ากี่แห่ง
- มีคลังในพื้นที่ที่มียอดขายหรือปริมาณออเดอร์สูงของเราหรือไม่
- เคยทำงานกับธุรกิจในอุตสาหกรรมเดียวกันหรือไม่? มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจประเภทใด
- จัดส่งออเดอร์ต่อเดือนจำนวนเท่าไร (แยกเป็น B2C, B2B, ภายในประเทศ และระหว่างประเทศ)
- ความสามารถในการรองรับสูงสุดอยู่ที่เท่าไร
- ความสามารถในการรองรับเติบโตขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปหรือไม่
- มีบริการจัดการสินค้าคืนหรือไม่
- ดำเนินการกับออเดอร์แบบจัดส่งวันถัดไปอย่างไร
- จัดการกับสถานการณ์ที่มีออเดอร์พุ่งขึ้นอย่างกะทันหันได้อย่างไร
สอบถามรายละเอียดเรื่องต้นทุน
แม้การเริ่มต้นร่วมงานกับ 3PL จะมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นสูง แต่ในระยะยาวสามารถช่วยลดต้นทุนค่าแรงและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้ ควรขอรายการต้นทุนอย่างละเอียด พร้อมตรวจสอบว่าราคาที่เสนอรวมอะไรไว้บ้างก่อนตัดสินใจเลือกพันธมิตร โดยควรถามคำถามเหล่านี้
- เวลาทำการของคลังสินค้าเป็นอย่างไร (รวมถึงวันหยุดสุดสัปดาห์และวันหยุดนักขัตฤกษ์หรือไม่)?
- ในแต่ละไตรมาสมีจำนวนสินค้าที่รับจากโรงงานเท่าไร?
- มีบริการใบส่งของ (packing slip) หรือข้อความของขวัญ/บัตรของขวัญแบบกำหนดเองหรือไม่?
Charles Michael ผู้จัดการฝ่ายพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ของ Stitch Labs แนะนำว่า “อย่าดูแค่ราคาที่เสนอ เพราะโดยปกติแล้วราคานั้นมักไม่รวมบริการเสริม เช่น การใส่ใบการตลาด การห่อของขวัญ หรือบรรจุภัณฑ์พิเศษ ถ้ารู้สึกว่าข้อเสนอดูดีเกินจริง แสดงว่าคุณอาจยังไม่ได้ถามคำถามครบทุกข้อ”
บางกรณีคุณอาจมีเรทค่าขนส่งที่ดีกว่าคลังสินค้าที่กำลังประเมินอยู่ หากเป็นเช่นนั้น ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าคลังสินค้านั้นยอมรับเรทดังกล่าวได้ ในทางกลับกัน เครือข่ายคลังสินค้าขนาดใหญ่ก็มักจะสามารถเจรจาส่วนลดค่าขนส่งได้ลึกกว่าธุรกิจทั่วไป
กำหนดรูปแบบรายงานและการสื่อสารให้ชัดเจน
เมื่อเริ่มทำงานกับ 3PL รายใหม่ ควรให้ทุกอย่างเปลี่ยนผ่านอย่างราบรื่น โดยติดตามช่องทางบริการลูกค้าและโซเชียลมีเดียเพื่อดูว่ามีปัญหาเรื่องการจัดส่งหรือไม่ นอกจากนี้ควรถามว่าผู้ให้บริการมีระบบรายงานที่ช่วยติดตามประสิทธิภาพ เช่น ความตรงต่อเวลาของการจัดส่ง ความถูกต้องของออเดอร์ และอัตราความเสียหายจากการขนส่งหรือไม่
ตั้งข้อตกลงเรื่องการสื่อสารให้ชัด เช่น พวกเขาจะติดต่อคุณในเรื่องต่อไปนี้อย่างไร
- ออเดอร์ใหม่
- การแจ้งสถานะการจัดส่ง
- การคืนสินค้า
- การนับสินค้าคงคลัง
- ใบสั่งซื้อที่กำลังเข้ามา
- การรับสินค้าเข้าคลัง
- การแจ้งปรับปรุงข้อมูลสต็อก
กำหนดระดับการให้บริการจัดส่ง
ก่อนจะตกลงร่วมงานกับผู้ให้บริการ 3PL รายใหม่ ควรตรวจสอบรายละเอียดในสัญญาอย่างรอบคอบ การถามคำถามสำคัญตั้งแต่ต้นจะช่วยลดความเสี่ยงจากการร่วมงานกับผู้ให้บริการโลจิสติกส์ที่ไม่น่าเชื่อถือ
คำถามที่ควรถามก่อนเซ็นสัญญา
- มีวิธีชดเชยความล่าช้าในการจัดส่งอย่างไร
- มีข้อตกลงไม่เปิดเผยข้อมูลที่บังคับใช้ได้จริงหรือไม่
- มีรีวิวหรือคำแนะนำจากลูกค้าเดิมที่น่าเชื่อถือหรือไม่
- มีประวัติความมั่นคงทางการเงินอย่างน้อย 2 ปี และพร้อมเปิดเผยงบการเงินให้ตรวจสอบหรือไม่
นอกจากนี้ ควรตัดสินใจให้ชัดว่าหากออเดอร์จัดส่งไม่ทันตามกำหนด คุณต้องการรับ เงินคืนหรือเครดิตแทน และควรถามให้แน่ใจว่าหากสินค้าชำรุดหรือสูญหาย คุณจะได้รับการชดเชยอย่างไรบ้าง เข้าใจรายละเอียดของ การรับประกันระดับการให้บริการ เพื่อประเมินความเสี่ยงของธุรกิจได้แม่นยำยิ่งขึ้น
อีกประเด็นที่ควรพิจารณาคือ การประกันภัยสินค้าระหว่างจัดเก็บและขนส่ง คุณต้องการให้สินค้าทุกชิ้นได้รับความคุ้มครองเต็มจำนวนหรือเฉพาะบางรายการ เช่น คุ้มครองมูลค่าสินค้าถึง 3,500 บาทหรือมากกว่า ก็ควรระบุไว้ให้ชัดเจนในสัญญา สุดท้าย ให้แน่ใจว่าความคุ้มครองที่คุณได้รับคือ “ประกันภัยจริง” ไม่ใช่แค่ “ความรับผิดชอบที่รวมอยู่ในบริการขนส่ง” เพราะรายละเอียดนี้จะมีผลต่อการเรียกร้องค่าสินไหมในอนาคต
ตรวจสอบการเชื่อมต่อระบบ
เมื่อคุณได้รายชื่อผู้ให้บริการ 3PL ที่สนใจแล้ว ขั้นตอนสุดท้ายคือการตรวจสอบว่า 3PL เหล่านั้นสามารถเชื่อมต่อกับระบบที่คุณใช้อยู่ได้หรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นระบบบริหารสินค้าคงคลัง, ระบบจัดการออเดอร์, ซอฟต์แวร์ประมวลผลคำสั่งซื้อ หรือระบบบริหารคลังสินค้า
การซิงก์ข้อมูลระหว่างระบบจะช่วยให้กระบวนการจัดส่งและอัปเดตสต็อกเกิดขึ้นแบบอัตโนมัติ ทำให้ออเดอร์ถูกจัดส่งทันทีที่ลูกค้าสั่งซื้อ และข้อมูลสินค้าคงคลังจะอัปเดตแบบเรียลไทม์โดยไม่ต้องทำด้วยมือ
คำถามที่ควรถามเพิ่มเติม
- ระบบแพลตฟอร์มของคุณใช้งานง่ายแค่ไหน
- สามารถเชื่อมต่อกับร้าน Shopify ของฉันโดยตรงผ่าน API หรือแอปที่ได้รับอนุมัติหรือไม่
- มีแพลตฟอร์มแยกที่สามารถเชื่อมต่อผ่าน EDI หรือการโอนข้อมูลแบบ FTP ได้หรือไม่
ผู้ให้บริการ 3PL บางรายสามารถเชื่อมต่อกับ Shopify โดยตรงเพื่อจัดการในนามของคุณ เช่น การทำเครื่องหมายออเดอร์ว่า “Fulfilled,” การคืนเงินหรือการอัปเดตสต็อก ซึ่งหมายความว่าระบบจัดการออเดอร์ของคุณจะกลายเป็น “ศูนย์กลางข้อมูลจริงเพียงหนึ่งเดียว” ไม่ว่าจะเป็นออเดอร์ที่มาจากคลังของคุณเองหรือจากคลังของ 3PL
หากคุณต้องการคำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเลือกพันธมิตร 3PL ที่เหมาะสม สามารถดาวน์โหลด The Third-Party Logistics Checklist ซึ่งรวบรวมคำถามสำคัญกว่า 45 ข้อที่ควรถามผู้ให้บริการ พร้อมคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์
เครือข่ายการจัดส่งของ Shopify
Shopify Fulfillment Network (SFN) คือโซลูชันที่ออกแบบมาเพื่อช่วยธุรกิจอีคอมเมิร์ซให้จัดการระบบโลจิสติกส์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและขยายการดำเนินงานได้ง่ายขึ้น โดย Shopify ได้ร่วมมือกับ Flexport ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ระดับโลกที่เชื่อถือได้ เพื่อยกระดับเทคโนโลยีและความรวดเร็วในขั้นตอน Fulfillment
จุดเด่นของเครือข่ายการจัดส่งของ Shopify
- จัดส่งรวดเร็วทั่วสหรัฐฯ: บริการจัดส่งภายใน 2–3 วันทั่วประเทศ ทำให้ลูกค้าได้รับสินค้าทันใจ
- การจัดการเครือข่ายด้วยข้อมูล: ใช้ข้อมูลความต้องการของลูกค้าในการวางตำแหน่งสินค้าเชิงกลยุทธ์ เพื่อลดระยะทางและเวลาในการจัดส่ง
- ระบบจัดการสต็อกที่ง่ายขึ้น: เพียงส่งสินค้าทั้งหมดไปยังคลังเดียว แล้วให้ Flexport จัดการกระจายสินค้าแทนคุณ
SFN สามารถเชื่อมต่อกับร้าน Shopify ได้โดยตรงอย่างราบรื่น คุณสามารถตรวจสอบสถานะการจัดส่งและปริมาณสต็อกได้จากหน้า Shopify Admin ได้เลยแบบเรียลไทม์
เมื่อธุรกิจของคุณเติบโต คุณสามารถปรับกลยุทธ์ Fulfillment ได้อย่างยืดหยุ่น เลือกบริการจัดส่งที่เหมาะกับช่วงเวลาและความต้องการ พร้อมปรับเปลี่ยนได้ทุกเมื่อ ทั้งหมดนี้มาพร้อมโครงสร้างราคาที่โปร่งใสและคุ้มค่า จ่ายเฉพาะสิ่งที่คุณใช้งานจริง
ด้วยความร่วมมือระหว่าง Flexport ที่มีความเชี่ยวชาญด้านโลจิสติกส์ และ Shopify ที่เข้าใจธุรกิจอีคอมเมิร์ซอย่างลึกซึ้ง SFN ช่วยให้แบรนด์ของคุณเติบโตได้อย่างมีระบบและยั่งยืน พร้อมใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยอย่าง Machine Learning เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และมอบประสบการณ์ที่ดีขึ้นให้ลูกค้าของคุณ
การร่วมงานกับ 3PL อาจเปลี่ยนธุรกิจของคุณให้ดีขึ้นได้จริง
ไม่ว่าคุณจะเริ่มใช้บริการ 3PL เป็นครั้งแรก หรือกำลังปรับลดการพึ่งพาผู้ให้บริการที่ใช้อยู่เดิม กระบวนการนี้ย่อมไม่ง่าย ธุรกิจอีคอมเมิร์ซไม่สามารถควบคุมทุกสิ่งที่พันธมิตรทางธุรกิจทำได้ แต่สิ่งที่คุณควบคุมได้คือ “การตรวจสอบและประเมินอย่างรอบคอบ” ก่อนตัดสินใจเลือกผู้ให้บริการ 3PL
จงใช้เวลาอย่างรอบด้านในการประเมินพันธมิตรที่เป็นไปได้ เพราะผู้ให้บริการโลจิสติกส์บุคคลที่สามที่เหมาะสมสามารถเปลี่ยนธุรกิจของคุณให้ดีขึ้นได้ ไม่เพียงช่วยลดภาระเรื่องการจัดเก็บและจัดส่งสินค้าเท่านั้น แต่ยังช่วยให้คุณทำตามคำสัญญาเรื่อง “ความเร็วในการจัดส่ง” ให้ลูกค้าได้จริง
Shopify Fulfillment Network (SFN) คือหนึ่งในทางเลือกที่ช่วยให้ธุรกิจที่มียอดสั่งซื้อจำนวนมากสามารถจัดส่งได้รวดเร็ว คุ้มค่า และมีประสิทธิภาพ
เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับโซลูชันบริการจัดส่งและการจัดการออเดอร์ของ Shopify ที่จะช่วยยกระดับการจัดการโลจิสติกส์ของคุณให้ครบวงจรยิ่งขึ้น
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ 3PL
3PL กับ 4PL ต่างกันยังไง
บริษัทโลจิสติกส์บุคคลที่สาม (3PL) คือผู้ให้บริการภายนอกที่ช่วยจัดการด้านโลจิสติกส์ เช่น การจัดเก็บสินค้าและการจัดส่ง ส่วนผู้ให้บริการโลจิสติกส์บุคคลที่สี่ (4PL) จะดูแลทั้งห่วงโซ่อุปทานทั้งหมด รวมถึงการบริหาร 3PL และผู้ให้บริการรายอื่น ๆ เพื่อมอบโซลูชันแบบครบวงจรยิ่งขึ้น
3PL ต่างจาก Dropship ยังไง
3PL คือการจ้างบริษัทภายนอกให้ช่วยดำเนินการด้านโลจิสติกส์ เช่น การเก็บ แพ็ก และจัดส่งสินค้า ในขณะที่ Dropshipping เป็นโมเดลค้าปลีกที่ผู้ขายไม่ได้เก็บสินค้าคงคลังไว้เอง แต่จะส่งคำสั่งซื้อตรงไปยังผู้ผลิตหรือผู้ค้าส่งให้จัดส่งสินค้าไปยังลูกค้าโดยตรง
รูปแบบการทำงานกับ 3PL เป็นยังไง
รูปแบบการทำงานกับ 3PL คือการร่วมมือระหว่างแบรนด์กับบริษัทภายนอกที่ทำหน้าที่จัดเตรียมและจัดส่งสินค้าแทนแบรนด์นั้น ๆ บางความสัมพันธ์อาจเป็นแบบฝังตัว หมายถึง 3PL จะทำงานใกล้ชิดกับซัพพลายเชนของแบรนด์ เพื่อป้องกันความผิดพลาดและเพิ่มประสิทธิภาพ
ธุกิจแบบไหนที่ใช้บริการ 3PL มากที่สุด
บริษัท DHL เป็นผู้ให้บริการ 3PL ชั้นนำระดับโลก โดยกลุ่มอุตสาหกรรมหลักที่ใช้บริการ ได้แก่ ค้าปลีก เทคโนโลยี ยานยนต์ การผลิต พลังงาน สุขภาพ เคมีภัณฑ์ และภาครัฐ
3PL ต่างจาก Broker อย่างไร?
3PL ให้บริการด้านการขนส่งและโลจิสติกส์หลายรูปแบบแก่แบรนด์ ส่วน Freight Broker จะทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างแบรนด์กับคนขับรถหรือผู้ขนส่ง ซึ่งต่างจาก 3PL เพราะ Broker มุ่งเน้นเฉพาะการจับคู่ระหว่างผู้ขนส่งกับลูกค้าเท่านั้น
จะบริหารจัดการผู้ให้บริการ 3PL ได้อย่างไร?
เริ่มจากการกำหนดความคาดหวังให้ชัดเจน จากนั้นตั้งตัวแทนประสานงานหลักที่เข้าใจซัพพลายเชนและมีอำนาจตัดสินใจ แล้วจัดการประชุมทบทวนผลการทำงานเป็นประจำ เพื่อประเมินว่า 3PL ทำได้ตามเป้าหมายหรือไม่
จะติดตามประสิทธิภาพของ 3PL ได้อย่างไร?
ส่วนใหญ่ 3PL จะมีระบบรายงานให้ตรวจสอบ เช่น ความตรงต่อเวลาของการจัดส่ง ความถูกต้องของออเดอร์ และอัตราความเสียหายจากการขนส่ง นอกจากนี้ยังสามารถติดตามฟีดแบ็กจากช่องทางบริการลูกค้าและโซเชียลมีเดีย เพื่อดูว่ามีปัญหาเรื่องการจัดส่งหรือไม่
ทำไมถึงควรใช้บริการ 3PL?
แบรนด์มักเลือกใช้บริการ 3PL เมื่อธุรกิจเติบโตจนไม่สามารถจัดเก็บ แพ็ก และจัดส่งสินค้าได้ด้วยตนเอง หากคุณพบว่าธุรกิจของคุณเริ่มมีออเดอร์มากจนทีมไม่สามารถจัดการได้ครบทุกขั้นตอน นั่นอาจเป็นเวลาที่เหมาะสมในการเริ่มใช้บริการ 3PL


