มีไลน์เครื่องสำอางมากกว่า 150 แบรนด์ที่วางขายกับยักษ์ใหญ่ด้านความงามอย่าง Sephora แบรนด์ใดแบรนด์หนึ่งก็อาจมีมาสคาร่าถึงสามแบบ ตั้งแต่ยาว เด้ง จนถึงกันน้ำ ลูกค้าจึงเจอ “ปัญหาใหญ่” คือ ตัวเลือกเยอะเกินไป
แต่สำหรับผู้ประกอบการที่กำลังมองหาไอเดียธุรกิจขนาดเล็กในสายบิวตี้ อย่างการเริ่มสร้างแบรนด์ขายเครื่องสำอางออนไลน์ ความอิ่มตัวของสินค้ากลายเป็นความท้าทายจริงจัง
จะยังพอมีที่ว่างให้ BB ครีมอีกหลอดไหม? ลิปสติกแมตต์อีกแท่งล่ะ? ในฐานะผู้สร้างแบรนด์ขายเครื่องสำอางออนไลน์หน้าใหม่ จะทำให้สินค้าดังท่ามกลางตลาดที่แน่นขนัดได้อย่างไร? มาสคาร่าใหม่ๆ จะถูกมองเห็นท่ามกลางมาสคาร่านับพันได้ยังไง?
น่าแปลกที่โอกาสยังมีอยู่มาก อุตสาหกรรมที่เคยถูกครองโดยแบรนด์เก่าแก่ กำลังมีเทรนด์และตลาดเฉพาะทางเกิดใหม่แทบทุกวันพร้อมให้คว้าโอกาสตลาดเครื่องสำอางทั่วโลกมีรายได้รวมในปี 2025 ราว 4.13 ล้านล้านบาท (ประมาณ $114.69 พันล้าน) และคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องที่ CAGR 3.96% จนถึงปี 2030
ต่อไปนี้คือวิธีเริ่มสร้างแบรนด์ขายเครื่องสำอางออนไลน์ตั้งแต่ศูนย์ พร้อมคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญและตัวอย่างจริงจากแบรนด์เครื่องสำอางที่ประสบความสำเร็จ
ประเภทธุรกิจเครื่องสำอาง
การเริ่มต้นสร้างแบรนด์ขายเครื่องสำอางออนไลน์มีหลายระดับความยาก ตั้งแต่แบบง่ายสุดๆ อย่างการขายต่อหรือลองทำลิปบาล์มจากครัวที่บ้าน ไปจนถึงแบบซับซ้อนที่ต้องพัฒนาสูตรร่วมกับโรงงานผลิต วิธีที่คุณจะผลิตหรือจัดหาสินค้าให้แบรนด์จะขึ้นอยู่กับเวลา ทักษะ เงินทุน และความซับซ้อนของสูตรที่ใช้
ต่อไปนี้คือ 4 เส้นทางที่คุณสามารถเลือกได้ในการสร้างแบรนด์ขายเครื่องสำอางออนไลน์ของคุณเอง
ทำเองที่บ้าน
เครื่องสำอางบางอย่าง อย่างลิปบาล์มมีสีหรือบาล์มบำรุงริมฝีปาก เป็นอะไรที่สามารถเริ่มต้นได้จากที่บ้าน ถ้าคุณเลือกทางนี้ ควรจดขั้นตอนและทดสอบสูตรให้ละเอียด เพื่อให้สูตรของคุณออกมาคงที่และได้มาตรฐาน แม้ในวันที่ธุรกิจขยายใหญ่ขึ้นหรือย้ายไปผลิตในโรงงาน
แม้ว่า “โรงงานผลิต” ของคุณช่วงแรกอาจเป็นห้องครัวเล็กๆ แต่ก็ยังต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านสุขอนามัยในท้องถิ่นเสมอ เช่น ในสหรัฐฯ FDA จะมีแนวทางเกี่ยวกับการระบายอากาศ ความสะอาด และพื้นผิวการผลิตที่ต้องปฏิบัติตาม
เส้นทางนี้เหมาะกับคนที่มีสินค้าที่สามารถผลิตเองได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่ยังไม่ได้เริ่มต้นหรือยังไม่มีเงินลงทุนสูง เพราะโรงงานส่วนใหญ่มักมีจำนวนขั้นต่ำในการผลิตที่สูง ซึ่งอาจทำให้คุณไม่สามารถสั่งผลิตได้ตามที่ต้องการ แต่เมื่อเริ่มมีประสบการณ์ แต่เมื่อเริ่มมีประสบการณ์ คุณอาจย้ายไปสู่การผลิตเชิงอุตสาหกรรมหรือให้ผู้เชี่ยวชาญเข้ามาช่วยพัฒนาสูตรแทน
ตัวอย่างเช่น Melissa Butler ผู้ก่อตั้งแบรนด์ The Lip Bar ที่เริ่มต้นจากการทดลองทำลิปสติกในอพาร์ตเมนต์ของตัวเอง กล่าวว่า “ตอนแรกฉันไม่รู้เลยว่าจะทำลิปยังไง” Melissa เรียนรู้จากการหาข้อมูลและคุยกับนักเคมีเครื่องสำอาง จนวันหนึ่งรู้ว่าควรให้มืออาชีพดูแลเรื่องการผลิต เพื่อให้ขายได้จริงในปริมาณมาก ส่วนเธอก็หันมาทำหน้าที่บอกเล่าเรื่องราวของสินค้า ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอถนัด
การทำเครื่องสำอางเองอาจเป็นสิ่งที่คุณรัก แต่ถ้าจุดแข็งของคุณอยู่ในด้านอื่น เช่น การตลาดหรือดีไซน์ ก็ควรรู้ว่าเมื่อไหร่ควรส่งต่อให้ผู้เชี่ยวชาญช่วย
สินค้าไวท์เลเบล
ไวท์เลเบลคือสินค้าที่โรงงานผลิตขึ้นมาแบบกลางๆ แล้วให้แบรนด์ต่าง ๆ นำไปติดโลโก้ของตัวเองได้ สินค้าประเภทนี้สามารถปรับแต่งได้เล็กน้อย เช่น สี กลิ่น หรือบรรจุภัณฑ์ แต่สูตรหลักจะเหมือนกัน
สินค้าไวท์เลเบลเหมาะมากกับแบรนด์ที่เน้น “คอนเซ็ปต์” หรือ “ภาพลักษณ์” มากกว่าตัวสินค้าเอง เช่น ถ้าคุณอยากเปิดร้านธีมยูนิคอร์น คุณอาจใช้ลิปสติกไวท์เลเบล แล้วใส่ดีไซน์แพ็กเกจและชื่อสินค้าให้เข้ากับธีมแฟนตาซี ในกรณีนี้ จุดขายไม่ได้อยู่ที่ตัวลิปสติก แต่อยู่ที่ “ความคิดสร้างสรรค์ของแบรนด์”
ไวท์เลเบลเป็นทางเลือกที่เร็ว เหมาะกับคนที่อยากเข้าสู่ตลาดเร็วๆ โดยไม่ต้องเสียเวลาลองสูตรใหม่จากศูนย์ โดยเฉพาะถ้าอยากเกาะเทรนด์ในช่วงที่กระแสกำลังมา
พัฒนาสูตรเฉพาะของแบรนด์
ถ้าคุณอยากสร้างสูตรเฉพาะของตัวเอง สามารถทำได้โดยร่วมมือกับโรงงานผลิต แบรนด์ใหญ่บางรายมีโรงงานของตัวเอง แต่ก็มีโรงงานจำนวนมากที่รับจ้างผลิตให้หลายแบรนด์ในที่เดียว ซึ่งเป็นทางเลือกที่เข้าถึงได้สำหรับแบรนด์เกิดใหม่
ตัวอย่างคือ Redhead Revolution ของ Kate Loveless เธอเริ่มสร้างแบรนด์ขายเครื่องสำอางออนไลน์จากการทำขายที่บ้านบนแพลตฟอร์มออนไลน์ พอเริ่มทำมาสคาร่า จึงจ้างนักเคมีมาช่วยพัฒนาสูตร จนกระทั่งธุรกิจเติบโตเกินกว่าที่บ้านจะรองรับได้
หลังจากที่เธอได้ศึกษาหาข้อมูลอย่างละเอียดแล้ว Kate ได้ตัดสินใจเลือกผู้ผลิต
“ฉันอยากได้โรงงานที่ใช้วัตถุดิบคุณภาพสูงและเน้นความเป็นธรรมชาติ” Kate บอกการหาผู้ผลิตในท้องถิ่นเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเธอ เพราะเธอสามารถติดตามกระบวนการผลิตได้อย่างใกล้ชิด “และที่สำคัญ ฉันอยากไปดูขั้นตอนเองได้ อยากรู้จักคนที่อยู่หลังสินค้าของเรา” เธอกล่าวเสริม
หากคุณอยากหาผู้ผลิต มีแหล่งออนไลน์ที่เชื่อถือได้มากมาย เช่น
- Manta
- Maker’s Row
- Cosmetic Index
คัดเลือกและขายต่อแบรนด์อื่น
การสร้างแบรนด์ขายเครื่องสำอางออนไลน์อีกทางที่ง่ายกว่าโดยไม่ต้องผลิตเอง คือการซื้อสินค้าส่งจากหลายแบรนด์มาคัดเลือกและขายในสไตล์ของคุณเอง เช่น โฟกัสเฉพาะแบรนด์ท้องถิ่น สินค้าออร์แกนิก สกินแคร์สำหรับผิวแพ้ง่าย หรือสินค้านำเข้าที่หายาก
ตัวอย่างเช่น Charlotte Cho ผู้ก่อตั้ง Soko Glam ที่นำเทรนด์ K-beauty เข้าสู่ตลาดอเมริกา เธอไม่เพียงขายสินค้า แต่ยังให้ความรู้ผ่านบล็อก The Klog ทำให้แบรนด์ของเธอเป็นที่ยอมรับในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านความงาม และต่อยอดการสร้างแบรนด์สกินแคร์ของตัวเองชื่อ Then I Met You
บน Shopify การขายสินค้าจากแบรนด์อื่นทำได้ง่ายมาก คุณสามารถเชื่อมต่อกับซัพพลายเออร์ในวงการความงามผ่าน Shopify Collective เครือข่ายซัพพลายเออร์ฟรีที่รวมสินค้าหลายพันรายการไว้ในที่เดียว สามารถดูเรตติ้งของผู้ขาย และได้มาร์จิ้นเฉลี่ย 20–40% จากนั้นนำเข้ารายการสินค้าเข้าร้านได้ทันที และระบบจะส่งออเดอร์ไปยังซัพพลายเออร์โดยอัตโนมัติเมื่อมีคนสั่งซื้อ
อีกทางเลือกหนึ่งคือ ดรอปชิปปิ้ง (Dropshipping) ซึ่งแทบไม่ต้องลงทุนเลย เพราะดรอปชิปปิ้งซัพพลายเออร์จะเป็นคนเก็บสินค้าและจัดส่งให้ คุณจ่ายเงินเฉพาะตอนที่มีออเดอร์เข้ามาจริง
สิ่งที่ควรพิจารณาถ้าคุณอยากคัดเลือกของเพื่อนำมารีเซล
- แบรนด์เข้ากันไหม สินค้ามีความซ้ำซ้อนกันหรือเปล่า
- ตลาดปลายทางมีใครขายอยู่แล้วไหม ถ้าคุณส่งสินค้าไปแคนาดา แบรนด์นั้นมีคนขายอยู่ก่อนหรือยัง
-
ค่าภาษีและค่าขนส่งหลังบ้าน อย่าลืมบวกค่าธรรมเนียมเหล่านี้ในราคาขาย คุณอาจดีลกับบริษัทขนส่งเอง เพื่อควบคุมต้นทุนและความรวดเร็วได้ดีกว่าปล่อยให้ซัพพลายเออร์จัดส่งให้เอง
วิธีเริ่มต้นสร้างแบรนด์ขายเครื่องสำอางออนไลน์
- ค้นหาเทรนด์หรือกลุ่มตลาดเฉพาะ
- จัดตั้งธุรกิจอย่างถูกกฎหมาย
- เขียนแผนธุรกิจ
- หาทุนสำหรับสร้างแบรนด์ขายเครื่องสำอางออนไลน์
- เลือกส่วนผสมของสินค้า
- ออกแบบและจัดหาบรรจุภัณฑ์
- ตั้งราคาสินค้า
- ทำความเข้าใจหลักเกณฑ์การระบุฉลากสินค้า
- บริหารจัดการสต็อกสินค้า
- สร้างร้านค้าออนไลน์
- จัดทำนโยบายการคืนสินค้า
- ทำการตลาดให้แบรนด์เครื่องสำอาง
- ขยายช่องทางการขายแบบออฟไลน์
1. ค้นหาเทรนด์หรือกลุ่มตลาดเฉพาะ
ตอนนี้อะไรคือเทรนด์ฮิตในวงการเครื่องสำอาง? คุณจะเกาะกระแสเทรนด์นั้น หรือหยิบสินค้าคลาสสิกที่คนชอบมาปรับให้สดใหม่ดี? ลองตัดสินใจว่าคุณอยากให้แบรนด์ของคุณเติมช่องว่างในตลาด หรือเจาะกลุ่มผู้บริโภคที่ยังไม่มีใครตอบโจทย์ ไม่ว่าคุณจะเลือกทางไหน สิ่งสำคัญคือต้องมั่นใจว่ามี “ความต้องการในตลาด” อยู่จริง
หนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการยืนยันไอเดียสินค้าหรือมองหาโอกาสทางธุรกิจ คือการ “ศึกษาเทรนด์”
คุณสามารถศึกษาเทรนด์ได้หลายวิธี เช่น
- ติดตามอินฟลูเอนเซอร์ ยูทูบเบอร์ แบรนด์ และนักข่าวสายบิวตี้บนโซเชียลมีเดีย
- สมัครรับจดหมายข่าวด้านความงามเพื่ออัปเดตเทรนด์ใหม่ ๆ
- ใช้ Google Trends หรือทำ คีย์เวิร์ดรีเสิร์ช เพื่อตรวจดูว่าความสนใจในไอเดียของคุณเพิ่มขึ้นหรือไม่
- ใช้ เครื่องมือ Social Listening เพื่อฟังว่ากลุ่มเป้าหมายพูดถึงหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์หรือไอเดียของคุณอย่างไร
- อ่าน รายงานอุตสาหกรรมความงาม เพื่อดูแนวโน้มการเติบโตของตลาดอุตสาหกรมที่คุณสนใจ
การหากลุ่มตลาดเฉพาะที่เหมาะสมคือการโฟกัสกับ “ความต้องการเฉพาะด้าน” เช่น Vive Cosmetics ที่มุ่งเน้นกลุ่มผู้บริโภคผู้หญิงละติน ซึ่งมักถูกมองข้ามในตลาด Leslie ผู้ร่วมก่อตั้งเล่าว่า “หลังจากทำวิจัยตลาด ก็มั่นใจว่าไอเดียแบรนด์ความงามเชิงวัฒนธรรมของเราจะเวิร์ก เพราะผู้หญิงละตินคือกลุ่มที่ใช้จ่ายสูงสุดในหมวดเครื่องสำอางทั้งหมด”
อีกตัวอย่างหนึ่งคือ Starface ที่แตกต่างจากตลาดด้วยการสร้างแผ่นแปะสิว (pimple patch) สีสันสดใสและรูปดาว แทนที่จะทำให้ “กลืนหายไปกับผิว” Kara Brothers ประธานแบรนด์กล่าวในรายการ Shopify Masters ว่า “ถ้าคุณเห็นใครเดินบนถนนแล้วมีดาวแปะอยู่บนหน้า คุณจะจำได้ทันที มันเหมือนเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มเดียวกัน คอมมูนิตี้ของเราภูมิใจที่ได้โชว์สไตล์ของตัวเองผ่านดาวแต่ละแบบ เหมือนเครื่องประดับแฟชั่นชิ้นหนึ่ง”
ตัวอย่างกลุ่มตลาดเฉพาะ (Niche) ที่น่าสนใจ
- Studio10 จับกลุ่มลูกค้าวัยผู้ใหญ่ เน้นสินค้าดูแลผิวสำหรับผู้สูงอายุ
- ความตื่นตัวด้านสวัสดิภาพสัตว์และการใช้สูตรปลอดสารเคมี ทำให้แบรนด์วีแกนและออร์แกนิก 100% Pure ประสบความสำเร็จ
- Trixie Mattel ใช้อิทธิพลของตัวเองสร้างไลน์เครื่องสำอางสำหรับแดร็กควีนและทุกคนที่อยากรู้สึกเหมือนเป็นตำนานหรือไอคอน
- Hustle Beauty พัฒนาเครื่องสำอางที่ติดทนนานสำหรับสายออกกำลังกาย
- Petite ’n Pretty เจาะกลุ่มเด็กวัยรุ่นและทวีน ด้วยเฉดสีอ่อนและสูตรอ่อนโยนต่อผิววัยเยาว์
- Black Opal ผู้นำวงการเฉดสีสำหรับผิวเข้ม โดยเฉพาะผู้หญิงผิวสี
- Sugarpill สร้างจุดเด่นด้วยสีแน่นจัดและลุคสุดขั้ว เจาะกลุ่มคอสเพลย์
เมื่อคุณเริ่มจำกัดขอบเขตกลุ่มตลาดเฉพาะของแบรนด์ ลองถามตัวเองด้วยคำถามเหล่านี้:
- ไอเดียของคุณแตกต่างจากสินค้าที่มีอยู่ในตลาดอย่างไร?
- คุณสามารถระบุกลุ่มเป้าหมายของสินค้าชัดเจนได้ไหม?
- กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของคุณยังไม่ได้รับการตอบโจทย์จากแบรนด์อื่นหรือไม่?
- คุณเห็นเทรนด์ใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นในกลุ่มตลาดเฉพาะนี้หรือเปล่า?
- จุดเด่นของแบรนด์คุณอยู่ที่อะไร นอกจากตัวสินค้า? เช่น อาจเป็นประสบการณ์ แบรนดิ้ง หรือพันธกิจของแบรนด์
Melissa Butler จาก The Lip Bar ฝากข้อคิดไว้ว่า “ทำการบ้านให้เยอะ มันอาจฟังดูง่าย แต่คุณจะทึ่งว่ามีกี่คนที่เริ่มธุรกิจโดยไม่เข้าใจเลยว่า ‘จุดแข็งของตัวเอง’ เทียบกับคู่แข่งคืออะไร”
2. จัดตั้งธุรกิจอย่างถูกกฎหมาย
มีขั้นตอนสำคัญบางอย่างที่ควรทำเพื่อให้ธุรกิจของคุณถูกต้องตามกฎหมาย:
- ตั้งชื่อธุรกิจ สิ่งที่คุณขาย กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย หรือแม้แต่ความสนใจส่วนตัว ล้วนส่งผลต่อชื่อแบรนด์ หากยังคิดชื่อไม่ออก ลองใช้ Shopify AI Business Name Generator เพียงใส่ข้อมูลอย่างตำแหน่งที่ตั้งหรือประเภทสินค้าที่ขาย เครื่องมือจะช่วยสร้างไอเดียชื่อแบรนด์ให้คุณเลือก
- กำหนดโครงสร้างธุรกิจ ตัดสินใจว่าจะดำเนินธุรกิจแบบเจ้าของคนเดียว ซึ่งทำเอกสารน้อยแต่ให้การคุ้มครองน้อยกว่า หรือแบบบริษัทจำกัดความรับผิด (LLC) ที่ช่วยปกป้องทรัพย์สินส่วนตัวได้ดีกว่า ตรวจสอบข้อกำหนดของพื้นที่ที่คุณดำเนินธุรกิจ เช่น การจดทะเบียนบริษัท การขอใบอนุญาต การจัดเก็บและชำระภาษีขาย และการรายงานข้อมูลธุรกิจ
- เปิดบัญชีธนาคารประเภทธุรกิจ การแยกบัญชีส่วนตัวออกจากบัญชีธุรกิจจะช่วยให้จัดการบัญชีและภาษีได้ง่ายขึ้น และช่วยให้ธุรกิจดูเป็นทางการมากขึ้น
3. เขียนแผนธุรกิจ
แผนธุรกิจคือแผนที่นำทางในการดำเนินธุรกิจ ช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมีทิศทาง และเป็นสิ่งจำเป็นหากต้องการขอเงินลงทุนจากภายนอกเพื่อสร้างแบรนด์ขายเครื่องสำอางออนไลน์ของคุณ
องค์ประกอบหลักของแผนธุรกิจ ได้แก่:
- ข้อมูลบริษัท ระบุเป้าหมายของธุรกิจ โมเดลธุรกิจ โครงสร้าง วิสัยทัศน์ พันธกิจ และคุณค่าที่แบรนด์มอบให้ลูกค้า
- การวิจัยตลาด วิเคราะห์จุดแข็ง โอกาส ขนาดตลาด และระดับการแข่งขันในกลุ่มที่คุณต้องการเจาะ
- สินค้า เขียนรายละเอียดสินค้าอย่างครบถ้วน รวมถึงแนวทางการตั้งราคาที่คาดว่าจะใช้
- แผนการเงิน วางแผนด้านการเงิน เช่น แหล่งเงินทุนที่เป็นไปได้ รายได้ที่คาดการณ์ไว้ และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน
4. หาทุนสำหรับสร้างแบรนด์ขายเครื่องสำอางออนไลน์
ต้นทุนในการเริ่มธุรกิจขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย สำหรับอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง หากคุณเริ่มจากที่บ้าน ทำสูตรเอง และค่อยๆ เติบโตด้วยเงินทุนส่วนตัว ต้นทุนเริ่มต้นจะไม่สูงมาก แต่ถ้าวางแผนผลิตในระดับโรงงานเชิงพาณิชย์ เงินลงทุนเริ่มต้นอาจมากขึ้นหลายเท่า
ตัวอย่างจากผู้ประกอบการจริง
- Leslie และ Joanna เริ่มแบรนด์ Vive Cosmetics ด้วยเงินกู้ธุรกิจขนาดเล็กประมาณ 360,000 บาท (US$10,000) จากแผนธุรกิจที่แข็งแรง ทั้งคู่ยังทำงานประจำควบคู่ไปด้วย เพื่อใช้รายได้สนับสนุนการสร้างแบรนด์ “การพัฒนาสินค้ามีต้นทุนสูงมาก” Leslie เล่าว่า “เราต้องเริ่มเล็ก ๆ ก่อน ด้วยสูตรลิปสติกเพียงสูตรเดียวและ 5 เฉดสีเท่านั้น”
- Melissa Butler จาก The Lip Bar เจอปัญหาคาดการณ์งบไม่แม่น “ฉันเก็บเงินไว้คิดว่าพอใช้ได้หนึ่งปี แต่สุดท้ายอยู่ได้แค่หกเดือนครึ่ง” เธอกล่าว แต่ความมุ่งมั่นทำให้เธอหาทางสร้างสรรค์เพื่ออยู่รอด เช่น แชร์ห้องนอนกับรูมเมต แล้วปล่อยอีกห้องให้เช่าผ่าน Airbnb เพื่อหารายได้เสริม
หากต้องการลดต้นทุนในช่วงเริ่มต้น ให้มองหาผู้ผลิตหรือบริษัทไวท์เลเบลที่รับออเดอร์ขั้นต่ำไม่สูง เริ่มจากจำนวนสินค้าจำกัด และมองหาโอกาสร่วมมือกับแบรนด์อื่น เช่น แชร์ค่าใช้จ่ายในการถ่ายภาพหรือทำแคมเปญการตลาดร่วมกัน
การหาทุนไม่ได้หมายถึงแค่การเริ่มธุรกิจ แต่ยังรวมถึงการต่อยอดให้เติบโตต่อเนื่องด้วย เช่น ผู้ก่อตั้งแบรนด์น้ำหอม Privé Perfumes เริ่มต้นด้วยสินค้าสต็อกมูลค่า 5.4 ล้านบาท (US$150,000) และสามารถขยายเป็นสต็อกมูลค่ากว่า 72 ล้านบาท (US$2,000,000) ด้วยความช่วยเหลือจาก Shopify Capital และ Shopify Credit “ถ้าไม่ได้เงินทุนก้อนนั้น เราคงไม่มีทางโตได้ 50%–60% ต่อปีแบบนี้” พวกเขากล่าว โดย Shopify Capital ช่วยเสริมเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการเติบโต ส่วน Shopify Credit ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นสำหรับค่าใช้จ่ายด้านโฆษณาและการตลาด
Sadie และ Abby Bowler สองพี่น้องผู้ก่อตั้งแบรนด์ดูแลผิว SadieB ตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น เริ่มต้นจากเงินลงทุนของเพื่อน ครอบครัว และนักลงทุนเอกชน หลังเซ็นสัญญากับ Target เพื่อวางขายในกว่า 500 สาขา พวกเธอต้องหาวิธีระดมทุนเพื่อผลิตสินค้าป้อนตลาดให้ทัน “เราเลือกใช้วิธีที่เหมาะที่สุดสำหรับช่วงเวลานั้นของธุรกิจ นั่นคือใบแจ้งหนี้” Abby กล่าวในพอดแคสต์ Shopify Masters “เรานำใบแจ้งหนี้จาก Target ไปใช้เป็นหลักประกันเพื่อขอเงินทุนสำหรับผลิตสินค้าได้เลย”
การระดมทุนด้วยใบแจ้งหนี้ คือวิธีที่ช่วยให้ธุรกิจนำเงินจากใบแจ้งหนี้ที่ยังไม่ได้รับชำระมาใช้หมุนเวียนได้ทันที แทนที่จะต้องรอการจ่ายเงินจากร้านค้าหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน บริษัททางการเงินจะจ่ายเงินล่วงหน้าบางส่วนของยอดใบแจ้งหนี้ให้ เมื่อคู่ค้าชำระเงินครบ คุณจึงค่อยคืนเงินพร้อมค่าธรรมเนียมเล็กน้อย วิธีนี้ช่วยให้แบรนด์ที่ทำงานร่วมกับร้านค้ารายใหญ่หรือผู้จัดจำหน่าย มีสภาพคล่องเพียงพอในการผลิตสินค้าจำนวนมาก โดยไม่กระทบกับการดำเนินงานประจำวันของธุรกิจ
5. เลือกส่วนผสมของสินค้า
หากคุณทำงานร่วมกับผู้ผลิตที่มีประสบการณ์ จะสามารถหลีกเลี่ยงปัญหาที่มักเกิดขึ้นในช่วงเริ่มต้นของการทำสูตรเองได้ เช่น การใช้ส่วนผสมที่เข้ากันไม่ได้ ผู้ผลิตไวท์เลเบลมักจะมีสูตรที่ผ่านการทดสอบและได้รับผลตอบรับจากตลาดจริงแล้ว จึงช่วยลดความเสี่ยงได้มาก
แต่ถ้าคุณต้องการพัฒนาสูตรเองตั้งแต่ต้น แม้จะต้องเรียนรู้มากกว่า แต่ข้อดีคือคุณจะมีอิสระเต็มที่ในการทดลองและสร้างสินค้าที่ไม่เหมือนใคร
ตัวอย่างเช่น Katonya Breaux ผู้ก่อตั้ง Unsun Cosmetics ที่ต้องการแก้ปัญหาที่แบรนด์อื่นไม่เคยทำมาก่อน ครีมกันแดดเนื้อแร่ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับคนผิวสี แม้ต้องเจออุปสรรคมากมาย ทั้งต้นทุนการพัฒนาสูตรที่สูงและข้อกำหนดจาก FDA แต่ผลลัพธ์ก็คุ้มค่า สูตรของเธอมีเอกลักษณ์จนกลายเป็นกระแสโดยไม่ต้องพึ่งประชาสัมพันธ์เลย
เธอกล่าวไว้ในพอดแคสต์ Shopify Masters ว่า “อย่าผลิตของที่มีอยู่ในตลาดอยู่แล้ว แค่เปลี่ยนฉลาก” ส่วนผสมคือสิ่งที่ทำให้สินค้าแตกต่างจริงๆ “ศึกษาส่วนผสมให้ดี ผู้บริโภคยุคนี้สนใจมากว่าพวกเขากำลังทาอะไรลงบนผิวหรือใส่อะไรเข้าสู่ร่างกาย”
สิ่งที่ควรพิจารณาเมื่อเลือกแหล่งวัตถุดิบสำหรับสร้างแบรนด์ขายเครื่องสำอางออนไลน์ ได้แก่:
- ส่วนผสมเป็นเกรดเครื่องสำอางและได้รับอนุญาตให้ใช้ในประเทศของคุณหรือไม่ (เช่น น้ำมันมะพร้าวมีทั้งแบบเกรดอาหารและเกรดเครื่องสำอาง)
- ต้องการเน้นส่วนผสมจากธรรมชาติหรือไม่ และจะตรวจสอบความน่าเชื่อถือของซัพพลายเออร์อย่างไร
- จะใช้สารกันเสียหรือไม่ และสิ่งนี้จะมีผลต่ออายุการเก็บรักษาอย่างไร
- หากต้องการระบุว่าเป็นสินค้าออร์แกนิก ต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าซัพพลายเออร์มีใบรับรองที่ถูกต้อง ซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ
- ตรวจสอบห่วงโซ่อุปทาน ซัพพลายเออร์มีความน่าเชื่อถือหรือไม่ และสามารถให้ข้อมูลอ้างอิงได้หรือเปล่า
- ตรวจสอบกฎหมายเกี่ยวกับการระบุฉลากในประเทศของคุณและประเทศที่คุณจัดส่งสินค้า
- มีส่วนผสมใดในสินค้าที่เป็นสารก่อภูมิแพ้ทั่วไปหรือไม่
ในช่วงเริ่มต้น คุณอาจยังไม่สามารถทำให้ทุกอย่างเป็นไปตามเป้าหมายเรื่องส่วนผสมได้ ซึ่งเคยเกิดขึ้นกับ Shizu Okusa ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Apothékary
เธอกล่าวในพอดแคสต์ Shopify Masters ว่า “ตอนเริ่มต้นเราทำทุกอย่างแบบง่ายที่สุด แค่พยายามหาส่วนผสมที่พอใช้ได้เพื่อผลิตและจัดส่ง แต่ตอนนี้เมื่อธุรกิจเติบโต ทุกอย่างผ่านการรับรองออร์แกนิก มีการทดสอบโดยหน่วยงานภายนอก และมีใบรับรองคุณภาพสำหรับทุกส่วนผสมและสินค้าทุกชิ้นที่เราส่งออก”
เพื่อให้มั่นใจว่าสิ่งที่คุณระบุบนฉลากตรงกับสิ่งที่อยู่ในสินค้าจริง ควรศึกษาข้อมูลของส่วนผสมและซัพพลายเออร์อย่างละเอียด อาจพิจารณาใช้บริษัทภายนอกเข้ามาตรวจสอบโรงงานหรือผู้จำหน่ายก่อนเริ่มทำธุรกิจร่วมกัน
6. ออกแบบและพัฒนาบรรจุภัณฑ์

บรรจุภัณฑ์เป็นองค์ประกอบสำคัญของสินค้าเครื่องสำอาง เพราะทำหน้าที่หลายอย่างในเวลาเดียวกัน ได้แก่
- สื่อถึงเอกลักษณ์ของแบรนด์ บรรจุภัณฑ์คืออีกช่องทางหนึ่งที่ช่วยถ่ายทอดบุคลิกของแบรนด์ เช่น กล่อง ลิปสติก หรือตลับแป้งที่ลูกค้ามองเห็นและใช้งานทุกวัน แม้หลังจากทิ้งกล่องนอกไปแล้ว ตัวอย่างเช่น Diarrha N’Diaye-Mbaye ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Ami Colé เลือกใช้สีส้มสดเป็นสีหลักของแบรนด์บรรจุภัณฑ์ เพราะรู้ว่าจะโดดเด่นท่ามกลางร้าน Sephora ที่ใช้โทนสีดำ “เมื่อคุณเดินเข้าร้านแล้วเห็นกล่องสีส้มนั้น มันจะสะดุดตาและชวนให้อยากรู้ทันที” เธอกล่าวในพอดแคสต์ Shopify Masters
- ปกป้องสินค้าที่เปราะบาง สินค้าอย่างอายแชโดว์หรือแป้งอัดแข็งอาจแตกหักได้ง่ายระหว่างการขนส่งหรือเมื่อหล่นกระแทก
- ทำหน้าที่เป็นอุปกรณ์ใช้งานในตัว บรรจุภัณฑ์ของสินค้าบางประเภท เช่น มาสคาร่าหรือลิปสติกแบบจิ้มจุ่ม จะถูกออกแบบให้เป็นส่วนหนึ่งของการใช้งานโดยตรง
- ให้ข้อมูลสำคัญกับลูกค้า เช่น ส่วนผสม วันหมดอายุ และคำแนะนำในการใช้
- สร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า ตั้งแต่ขั้นตอนการแกะกล่อง ไปจนถึงฟังก์ชันพิเศษอย่างกระจกเล็กในตลับลิปสติก รายละเอียดเหล่านี้ช่วยให้ลูกค้าประทับใจและจดจำแบรนด์ได้
ในช่วงเริ่มต้นของการสร้างแบรนด์ขายเครื่องสำอางออนไลน์ ควรเริ่มจากสินค้าง่ายๆ อย่างลิปบาล์มหรือลิปกลอส คุณสามารถซื้อกระปุกเปล่าสำเร็จรูปแล้วพิมพ์ฉลากติดเองได้ แต่เมื่อธุรกิจเติบโต ควรเริ่มทำงานร่วมกับซัพพลายเออร์หรือโรงงาน เพื่อออกแบบบรรจุภัณฑ์เฉพาะของแบรนด์ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ชัดเจนและแตกต่างจากคู่แข่ง
อย่าลืมทดสอบความทนทานของทั้งสินค้าและบรรจุภัณฑ์ โดยควรทดสอบพร้อมกัน โดยเฉพาะหากสูตรและบรรจุภัณฑ์ถูกผลิตในคนละโรงงาน
บรรจุภัณฑ์ยังมีผลต่อการขนส่งและวัสดุที่ต้องใช้ในการจัดส่ง เช่น Kate จากแบรนด์ Redhead Revolution เคยประสบปัญหาสินค้าแตกเสียหายระหว่างทาง ก่อนจะปรับปรุงบรรจุภัณฑ์ให้แข็งแรงขึ้นด้วยการห่อบับเบิลกันกระแทกสินค้าแต่ละชิ้น
7. ตั้งราคาสินค้า
การตั้งราคามีผลต่อทั้งสถานะทางการเงินของธุรกิจและการวางตำแหน่งของสินค้าในตลาด มีหลายกลยุทธ์ที่คุณสามารถใช้ได้ เช่น
การตั้งราคาแบบบวกต้นทุน
การตั้งราคาแบบบวกต้นทุน เป็นวิธีที่ง่ายและตรงไปตรงมาที่สุด เพียงรวมต้นทุนทั้งหมดที่ใช้ในการผลิตและนำสินค้าสู่ตลาด (เช่น ค่าวัตถุดิบ ค่าแรง ค่าโฆษณา และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ) แล้วบวกกำไรที่ต้องการเพิ่มเข้าไป ตัวอย่างเช่น หากต้นทุนรวมอยู่ที่ 1,620 บาท และต้องการกำไร 35% ให้ใช้สูตรนี้คำนวณราคาขาย:
ต้นทุน x [1 + อัตรากำไร] = ราคาขาย
1,620 x [1 + 0.35] = 2,187 บาท
การตั้งราคาตามคู่แข่ง
การตั้งราคาตามคู่แข่ง ใช้ราคาของคู่แข่งเป็นจุดอ้างอิง เพื่อกำหนดราคาสินค้าให้อยู่ในระดับที่ดึงดูดลูกค้าได้มากขึ้น วิธีนี้ช่วยเพิ่มโอกาสในการแข่งขัน แต่กำไรต่อชิ้นอาจลดลง
การตั้งราคาแบบพรีเมียม
การตั้งราคาแบบพรีเมียม เป็นกลยุทธ์ที่ตั้งราคาสูงกว่าคู่แข่ง โดยเน้นให้สินค้าดูมีระดับ หรูหรา หรือพิเศษกว่า การรักษาคุณภาพสินค้า บริการลูกค้าอย่างมืออาชีพ และภาพลักษณ์แบรนด์ที่แข็งแรง จะช่วยสนับสนุนกลยุทธ์การตั้งราคาแบบนี้ได้
8. ทำความเข้าใจหลักเกณฑ์การระบุฉลากสินค้า
แต่ละประเทศมีกฎหมายและข้อกำหนดเฉพาะเกี่ยวกับการบรรจุภัณฑ์ของเครื่องสำอาง ซึ่งในประเทศไทยเองก็มีระเบียบปฏิบัติที่กำหนดไว้อย่างชัดเจน เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคและสร้างความโปร่งใสให้กับธุรกิจ ความถูกต้องของฉลากจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ครอบคลุมตั้งแต่ภาษาในการแสดงฉลาก การระบุปริมาณสุทธิ รายการส่วนผสม ไปจนถึงคำเตือนด้านความปลอดภัยหรืออาการแพ้ที่อาจเกิดขึ้น
เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ของคุณเป็นไปตามมาตรฐานและสามารถวางจำหน่ายได้อย่างมั่นใจ แนะนำให้ตรวจสอบข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น
- สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) – ข้อกำหนดเกี่ยวกับฉลากเครื่องสำอางในประเทศไทย
- กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ – มาตรฐานและแนวทางปฏิบัติด้านความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์
- สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) – แนวทางการผลิตและบรรจุภัณฑ์ตามหลักเกณฑ์ GMP
การทำความเข้าใจข้อกำหนดเหล่านี้ไม่เพียงช่วยให้คุณปฏิบัติตามกฎหมายเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงความใส่ใจในคุณภาพ ความปลอดภัย และความน่าเชื่อถือของแบรนด์คุณในสายตาผู้บริโภคอีกด้วย ✨
9. บริหารจัดการสต็อกสินค้า
การบริหารสต็อกสินค้าความงามอาจซับซ้อนกว่าสินค้าประเภทอื่นเล็กน้อย ต่อไปนี้คือสิ่งที่ควรคำนึงถึง
ตรวจสอบอายุการเก็บรักษา
ก่อนที่คุณจะมีข้อมูลยอดขายจริงเพื่อใช้คาดการณ์ยอดสั่ง ควรสั่งสินค้าจำนวนไม่มากเกินไป เพื่อลดการสูญเสีย โดยเฉพาะสินค้าประเภทธรรมชาติหรือออร์แกนิกที่มีสารกันเสียน้อยหรือไม่มีเลย ซึ่งจะทำให้หมดอายุเร็วขึ้น คุณไม่อยากให้สินค้าหมดอายุก่อนขายออกทั้งหมดแน่นอน
ตัวอย่างเช่น Erika Geraerts ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Fluff เลือกใช้โมเดลการขายแบบลอตจำกัด เพื่อควบคุมปริมาณสินค้าและสร้างกระแสให้แบรนด์ เธอกล่าวในรายการ Shopify Masters ว่า “โมเดลนี้ช่วยสร้างความตื่นเต้นได้ดี แต่เราต้องบริหารสต็อกให้พอดีกับต้นทุนสินค้าและเงื่อนไขการผลิตขั้นต่ำของโรงงาน”
ระวังเรื่องอุณหภูมิและความชื้น
เก็บสินค้าความงามไว้ในที่แห้ง มืด และห่างจากความร้อนหรือแสงแดด เพราะอาจทำให้สินค้าละลายหรือเสียสภาพได้
จัดระเบียบสต็อกให้เป็นระบบ
หากคุณเก็บสินค้าเองโดยไม่ได้ใช้บริษัทบริการคลังสินค้า คุณควรจัดระบบให้หยิบสินค้าได้ง่าย โดยเฉพาะเครื่องสำอางที่มีขนาดเล็กและเฉดสีใกล้เคียงกัน ควรมีระบบติดฉลากหรือรหัสสีที่ช่วยแยกสินค้าได้ชัดเจน
หมุนเวียนสต็อกสินค้า
เช่นเดียวกับสินค้าอาหารหรือสินค้าที่มีวันหมดอายุ ควรให้พนักงานทุกคนเข้าใจหลักการหมุนเวียนสต็อก ใช้สินค้ารุ่นเก่าก่อนรุ่นใหม่ เพื่อป้องกันการหมดอายุหรือเสียหาย
10. สร้างร้านค้าออนไลน์

เปิดตัวสินค้าของคุณผ่านร้านค้าออนไลน์ และโปรโมตวันเปิดร้านให้กับกลุ่มผู้ติดตามกลุ่มแรกผ่านอีเมลและโซเชียลมีเดีย วิธีที่ง่ายที่สุดในการสร้างร้านค้าออนไลน์คือใช้ตัวสร้างเว็บไซต์แบบลากและวางอย่าง Shopify
ปรับแต่งธีมเว็บไซต์ให้เข้ากับแบรนด์ของคุณ
คุณสามารถเลือกซื้อธีมจาก Shopify แล้วปรับแต่งให้เข้ากับเอกลักษณ์ของแบรนด์ เช่น โลโก้ ฟอนต์ สี และองค์ประกอบภาพอื่น ๆ
ตัวอย่างธีม Shopify ที่เหมาะกับธุรกิจความงาม ได้แก่
ไม่ว่าคุณจะเลือกธีมใด ควรปรับแต่งให้ทุกองค์ประกอบสอดคล้องกับอัตลักษณ์และแนวทางของแบรนด์อย่างครบถ้วน
พัฒนาหน้ารายละเอียดสินค้า
หน้ารายละเอียดสินค้าเป็นส่วนสำคัญของเว็บไซต์ เพราะนอกจากช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการค้นหาบนเสิร์ชเอนจิน (SEO) แล้ว ยังให้ข้อมูลสำคัญเพื่อช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อและลดอัตราการคืนสินค้า
สำหรับไลน์เครื่องสำอางของคุณ ควรเขียนคำบรรยายสินค้าที่บอกถึงเนื้อสัมผัส ฟิกลุ่มตลาดเฉพาะ วิธีใช้ ความรู้สึกขณะใช้ และประโยชน์ของสินค้า เนื่องจากลูกค้าไม่สามารถทดลองสินค้าจริงได้ จึงควรให้ข้อมูลละเอียดที่สุด
คุณสามารถใช้แอปอย่าง Easy Tabs เพื่อจัดแท็บข้อมูล เช่น ส่วนผสม คำเตือน การแพ้ หรือเคล็ดลับความงาม โดยไม่ทำให้หน้าเพจรกเกินไป และใช้ SC Product Options เพื่อแสดงตัวเลือกเฉดสีผ่านตัวอย่างสวอตช์
ตัวอย่างเช่น แบรนด์ 100% Pure ใช้คำบรรยายสินค้าอย่างละเอียดในแต่ละหน้าสินค้าเพื่อให้ลูกค้าเข้าใจสินค้าได้ดีที่สุด

ใส่ภาพสินค้าคุณภาพสูง
เพิ่มความน่าสนใจให้กับหน้ารายละเอียดสินค้าด้วยภาพถ่ายสินค้าที่ชัด คม และสว่าง เห็นสินค้าจากหลายมุมบนพื้นหลังสีเรียบ รวมถึงภาพแนวไลฟ์สไตล์ที่โชว์สินค้าบนตัวแบบจริง เพื่อความหลากหลาย ควรมีภาพสินค้าบนผิวหลายโทนสี เพื่อให้ลูกค้าทุกกลุ่มรู้สึกมีส่วนร่วม
คุณไม่จำเป็นต้องจ้างช่างภาพมืออาชีพเสมอไป ตัวอย่างเช่น Ann McFerran จากแบรนด์ Glamnetic เริ่มจากการซื้อพร็อพและกล้องเอง แล้วฝึกถ่ายภาพด้วยตัวเอง เธอหานางแบบผ่านแอป Bumble BFF โดยเสนอของฟรี เช่น ขนตาแต่งหน้าและรูปถ่ายมืออาชีพ แลกกับการเป็นแบบ “คุณต้องใช้เครือข่ายที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์” Ann กล่าวในพอดแคสต์ Shopify Masters “คนส่วนใหญ่มักอยากช่วยคุณ เมื่อรู้ว่าคุณกำลังทำตามความฝันจริง ๆ”
ด้าน Kate จากแบรนด์ Redhead Revolution ก็ทำภาพและวิดีโอใหม่ ๆ อยู่เสมอ เพื่อช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจได้ง่ายขึ้น “บางครั้งฉันจะถ่ายรูปสวอตช์บนผิวตัวเองแล้วส่งให้ลูกค้าดูโดยตรง เพื่อให้เข้าใจสีได้ชัดเจนขึ้น” เธอกล่าว
เพิ่มประสิทธิภาพให้หน้าสินค้าด้วยแอปเสริม
ลองเพิ่มสื่อเพิ่มเติม เช่น วิดีโอลุคบุ๊ก หรือคลิปสอนแต่งหน้า ที่สามารถฝังไว้ในหน้าสินค้าหรือบล็อกบนเว็บไซต์ การเพิ่มรีวิวพร้อมภาพถ่ายจากลูกค้าด้วยแอปอย่าง Foursixty ก็ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือได้มากขึ้น
แอปต่าง ๆ ยังช่วยเพิ่มฟังก์ชันให้ร้านค้าออนไลน์ เช่น จำลองประสบการณ์ทดลองสีในร้านจริง หรือเพิ่มตัวเลือกให้ลูกค้าเลือกเฉดได้สะดวกขึ้น
แอปที่เหมาะกับร้านเครื่องสำอางใน Shopify ได้แก่
- EasyVideo – ฝังวิดีโอที่สามารถกดซื้อสินค้าได้โดยตรงในหน้าสินค้า
- Auglio try-on – ให้ลูกค้าทดลองแต่งหน้าหรือทาสีลิปเสมือนจริงก่อนซื้อ
- Swatches app – เปลี่ยนตัวเลือกเฉดสีให้แสดงเป็นสวอตช์สีที่มองเห็นได้ทันที
11. จัดทำนโยบายการคืนสินค้า
เนื่องจากความชอบด้านเครื่องสำอางเป็นเรื่องเฉพาะตัว และสีที่เห็นบนหน้าจอมักแตกต่างจากของจริง จึงควรเตรียมรับมือกับคำขอคืนหรือเปลี่ยนสินค้าไว้ล่วงหน้า โดยการมีนโยบายการคืนสินค้าที่ชัดเจนและขั้นตอนที่สะดวก จะช่วยให้กระบวนการนี้ราบรื่นทั้งสำหรับลูกค้าและธุรกิจของคุณ
นโยบายการคืนสินค้าของคุณอาจกำหนดให้สามารถคืนสินค้าได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด จำกัดการคืนสำหรับสินค้าบางประเภท (เช่น สินค้าลดราคา) และอธิบายให้ชัดว่าลูกค้ามีสิทธิ์ได้รับเงินคืน การเปลี่ยนสินค้า หรือเครดิตสำหรับใช้ซื้อสินค้าในครั้งถัดไปหรือไม่
ตัวอย่างเช่น แบรนด์ Vive Cosmetics มีการออกแบบหน้านโยบายคืนสินค้าโดยใช้ตัวหนา ขนาดฟอนต์ใหญ่ และสีที่แตกต่าง เพื่อเน้นจุดสำคัญที่สุดให้ลูกค้าเห็นได้ชัดเจนทันที

💡แอปอย่าง Loop สามารถช่วยจัดการขั้นตอนการคืนสินค้าได้ครบวงจร ตั้งแต่เริ่มต้นติดตามสถานะ ออกใบปะหน้าสำหรับการคืน และแจ้งอัปเดตให้ลูกค้าทราบในทุกขั้นตอน
12. ทำการตลาดให้กับแบรนด์เครื่องสำอาง
การทำตลาดเครื่องสำอางให้ได้ผล เริ่มจากการเข้าใจแบรนด์ของตัวเองอย่างชัดเจน ลองพิจารณาว่าบรรจุภัณฑ์ การออกแบบเว็บไซต์ เสียงของแบรนด์ และสไตล์การสื่อสาร สามารถสะท้อนตัวตนและคุณค่าของแบรนด์ได้อย่างไร เพราะ “แบรนด์” คือความรู้สึกที่คุณอยากให้ลูกค้ารับรู้เมื่อพวกเขาได้สัมผัสหรือใช้สินค้าของคุณ
แนวทางการตลาดที่สามารถนำไปใช้ได้ เช่น
โพสต์วิดีโอสอนแต่งหน้า
การให้ไอเดียลุคแต่งหน้าที่ลูกค้าสามารถทำตามได้ จะช่วยกระตุ้นให้พวกเขาเข้ามาที่ร้านของคุณมากขึ้น คุณสามารถโพสต์คลิปเหล่านี้บน TikTok YouTube หรือ Instagram Reels พร้อมใส่แฮชแท็กที่เกี่ยวข้องเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ร่วมงานกับอินฟลูเอนเซอร์
ธุรกิจเครื่องสำอางเหมาะกับการใช้การตลาดแบบอินฟลูเอนเซอร์มาก แต่สิ่งสำคัญคือต้องเลือกครีเอเตอร์ที่มีแนวทางตรงกับคุณค่าของแบรนด์ ตัวอย่างเช่น Alicia Scott ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Range Beauty ใช้ TikTok เป็นช่องทางหลักในการหาคอนเทนต์ครีเอเตอร์
“หัวใจสำคัญคือการเข้าถึงลูกค้าในพื้นที่ที่พวกเขาอยู่ แทนที่จะพยายามไปอยู่ทุกที่พร้อมกัน” Alicia กล่าวในพอดแคสต์ Shopify Masters “แม้ว่า Instagram จะยังเป็นแพลตฟอร์มหลักของเรา แต่ TikTok เปิดโอกาสให้เราสื่อสารกับลูกค้าได้เป็นกันเองมากขึ้น”
“เราใช้ TikTok เพื่อหาครีเอเตอร์และอินฟลูเอนเซอร์สำหรับแจกสินค้าและทำแคมเปญร่วมกัน ซึ่งง่ายกว่าการเข้าถึงคนบน Instagram มาก เพราะ TikTok ไม่ต้องเน้นความ ‘สมบูรณ์แบบ’ มากนัก เราจึงได้ผลลัพธ์เร็วขึ้นและคอนเทนต์ออกมาไวกว่า”
ในช่วงเปิดตัวแบรนด์ SadieB ผู้ก่อตั้งสองพี่น้องเลือกสร้างชุมชนของแบรนด์ผ่าน นาโนอินฟลูเอนเซอร์ ที่มีผู้ติดตามราว 2,000–5,000 คน “เรามักถูกแท็กในคลิปรีวิวที่เด็กผู้หญิงพูดถึงแบรนด์เราด้วยความรู้สึกดีมาก ๆ พวกเธอรู้สึกว่า SadieB ใส่ใจพวกเธอจริง ๆ” Sadie กล่าว “การเริ่มจากแคมเปญเล็ก ๆ แบบนี้ช่วยสร้างแบรนด์ให้แข็งแรงในระยะยาว”
กลยุทธ์นี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับการสร้างแบรนด์ขายเครื่องสำอางออนไลน์ ไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็ก เพราะนาโนและไมโครอินฟลูเอนเซอร์มักมีฐานผู้ติดตามที่มีส่วนร่วมสูงและความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกว่า ซึ่งสามารถเปลี่ยนเป็นความไว้วางใจและแรงสนับสนุนต่อแบรนด์ได้มากกว่าอินฟลูเอนเซอร์รายใหญ่
ใช้พลังของรีวิวและเสียงจากลูกค้า
ความคิดเห็นของลูกค้าต่อแบรนด์ของคุณสามารถส่งผลโดยตรงต่อความรู้สึกของผู้ที่กำลังตัดสินใจซื้อสินค้า ไม่ว่าจะเป็นการรีวิวแบบดั้งเดิม (สามารถใช้แอปอย่าง Yotpo เพื่อจัดการรีวิวได้) หรือกระแสพูดถึงจากลูกค้าบนโซเชียลมีเดีย ทั้งสองวิธีล้วนช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ของคุณได้ หรือคุณสามารถกระตุ้นให้ลูกค้าเขียนรีวิวหรือบอกต่อแบรนด์โดยมอบสิทธิพิเศษ เช่น ส่วนลดสำหรับการสั่งซื้อครั้งถัดไป หรือส่งสินค้าทดลองให้ เพื่อจูงใจให้ลูกค้าแชร์คอนเทนต์ที่สร้างเอง (UGC) ซึ่งช่วยขยายการมองเห็นแบรนด์บนโลกออนไลน์และสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าในระยะยาว
จับมือกับแบรนด์อื่น
การร่วมงานกับแบรนด์อื่นสามารถเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดคอลเลกชันใหม่ ๆ ได้ ตัวอย่างเช่น Bésame Cosmetics แบรนด์เครื่องสำอางแนวย้อนยุค ได้ร่วมมือกับ Disney เพื่อฉลองครบรอบ 80 ปีของเรื่อง Snow White
คอลเลกชันนี้ประกอบด้วยลิปสติกมินิ 7 เฉดสี พาเลตอายแชโดว์ และกระเป๋า ซึ่งได้รับความนิยมจากทั้งแฟนคลับของภาพยนตร์และผู้ที่หลงใหลในลุคการแต่งหน้าสไตล์ยุค 1930s จนถึงทุกวันนี้ เว็บไซต์ของ Bésame ยังคงได้รับข้อความจากลูกค้าที่เรียกร้องให้ “นำ Snow White กลับมาอีกครั้ง” อยู่เสมอ
เน้นคอนเทนต์ที่ลูกค้าสร้างเอง
คอนเทนต์ที่ลูกค้าสร้างขึ้นเอง หรือที่เรียกว่า UGC เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการดึงดูดลูกค้าใหม่ ๆ ได้อย่างเป็นธรรมชาติ แบรนด์ Jordana Ticia Cosmetics ใช้วิธีนี้ในการโปรโมตสินค้า โดยเน้นการแชร์รีวิวจากลูกค้าจริง ทั้งแบบข้อความและวิดีโอบนบัญชี Instagram ของแบรนด์ ตัวอย่างเช่น ในการโปรโมต Bronzer Duo แบรนด์ได้แชร์วิดีโอที่รวมคลิปของผู้ใช้จริงหลายคนที่ลองใช้สินค้า ซึ่งช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและกระตุ้นให้ผู้ติดตามอยากทดลองใช้สินค้าด้วยตัวเอง

13. ขยายช่องทางการขายแบบออฟไลน์
ประสบการณ์ของแบรนด์ในชีวิตจริง มีคุณค่าอย่างมาก เพราะช่วยให้คุณตอบแทนลูกค้าที่ภักดี เปิดโอกาสให้ผู้คนได้สัมผัสและทดลองสินค้าด้วยตนเอง รวมถึงเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ได้โดยตรง
ตัวอย่างเช่น ในเดือนกันยายนปี 2024 แบรนด์ Vive Cosmetics ได้จัดกิจกรรมร่วมกับงาน Chingona Fest ที่เมืองออสติน ภายใต้ชื่อ “Contigo Wellness Lounge” ภายในงานมีบริการนวด เครื่องสำอางให้ฟรี และมุมพักผ่อนสำหรับผู้ร่วมงาน ซึ่งช่วยให้แบรนด์สร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำและเชื่อมต่อกับลูกค้าในบรรยากาศจริงได้อย่างลงตัว

แบรนด์เครื่องสำอางสามารถต่อยอดจากไอเดียการขายแบบออฟไลน์เหล่านี้ได้ เช่น
- จัดร้านป๊อปอัป (Pop-up Shop) พร้อมบริการแต่งหน้ามินิฟรี เพื่อดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาสัมผัสประสบการณ์จริงกับสินค้า
- เป็นสปอนเซอร์งานแฟชั่นโชว์หรืออีเวนต์ต่างๆ โดยใช้สินค้าของคุณกับนางแบบในงาน หรือใส่สินค้าในถุงของที่ระลึกเพื่อโปรโมตแบรนด์
- เช่าพื้นที่ชั่วคราวในร้านค้าปลีก ที่ขายสินค้าประเภทเดียวกันหรือเสริมกัน เพื่อให้แบรนด์ของคุณเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น
ในระหว่างที่คุณยังอยู่ในขั้นตอนการออกแบบสินค้า อาจเริ่มจากการขายส่งหรือฝากขายสินค้ากับร้านค้าที่มีอยู่แล้วก็ได้ และอย่าลืมพิจารณาด้วยว่าสินค้าและบรรจุภัณฑ์ของคุณจะถูกจัดวางอย่างไรในร้านจริง เพื่อสร้างความโดดเด่นและดึงดูดสายตาให้มากที่สุด
ภาพประกอบโดย Pete Ryan
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการสร้างแบรนด์ขายเครื่องสำอางออนไลน์
จะเริ่มต้นสร้างแบรนด์ขายเครื่องสำอางออนไลน์
เริ่มจากคิดให้ชัดก่อนว่าคุณอยากขายเครื่องสำอางประเภทไหน และอยากมีสินค้ากี่ชิ้นในคอลเลกชันของตัวเอง จากนั้นหาว่ากลุ่มลูกค้าเป้าหมายของคุณคือใคร และพวกเขาจะเห็นคุณค่าในสินค้าของคุณอย่างไร กำหนดจุดเด่นของแบรนด์ หาผู้ผลิต ขอใบอนุญาต จัดเตรียมสต็อกสินค้า เลือกแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ แล้วเปิดเว็บไซต์ขายของได้เลย แนะนำให้ใช้เวลาศึกษาตลาดและหาความแตกต่างของแบรนด์ให้ชัดก่อนเริ่มลงมือผลิตสินค้า
ต้องมีใบอนุญาตหรือไม่ ถึงจะสร้างแบรนด์ขายเครื่องสำอางออนไลน์ได้
ในไทย จำเป็นต้องมีใบอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ก่อนวางขายเครื่องสำอางทุกประเภท ไม่ว่าจะขายแบบออฟไลน์หรือออนไลน์ ผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าจะต้องจดแจ้งสูตรและรายละเอียดของสินค้ากับ อย. ให้เรียบร้อยก่อน รวมถึงระบุชื่อผู้ผลิต ส่วนผสม วันผลิต วันหมดอายุ และเลขที่จดแจ้งบนฉลากอย่างชัดเจน
หากคุณขายเครื่องสำอางที่ผลิตเอง ต้องยื่นจดแจ้งเครื่องสำอางผ่านระบบ e-Submission ของ อย. ส่วนผู้ที่นำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ ต้องมีใบอนุญาตนำเข้าเครื่องสำอาง และตรวจสอบให้แน่ใจว่าสินค้ามีเอกสารรับรองจากประเทศต้นทางครบถ้วน
การสร้างแบรนด์ขายเครื่องสำอางออนไลน์ทำกำไรได้มั้ย
ธุรกิจเครื่องสำอางยังคงเป็นตลาดที่ทำกำไรได้ดีมาโดยตลอด เพราะความต้องการของผู้บริโภคไม่เคยลดลง เพียงแต่ตอนนี้มีตัวเลือกในตลาดมากขึ้น ผู้ซื้อจึงเลือกมากขึ้นและใส่ใจเรื่องส่วนผสม ความปลอดภัย และคุณค่าของแบรนด์มากกว่าเดิม ดังนั้น เครื่องสำอางที่คุณขายควรตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า มีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำกับแบรนด์อื่น และตั้งราคาให้คุ้มค่าสมเหตุสมผล


